ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

"ผักชีลาว" สมุนไพรมากประโยชน์
อาหาร
ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

ในอาหารจานต่างๆ เรามักจะเห็นว่ามีผักชีโรยหน้าเพื่อความสวยงามอยู่เสมอๆ จน
เป็นที่มาของสำนวน "ผักชีโรยหน้า" ที่หมายความว่า ทำอะไรให้ดูดีแค่ภายนอก ทำความ
ดีอย่างผิวเผิน แต่ผักชีที่ใช้โรยหน้านั้นก็มักใช้เป็นเพียงผักประดับจานเท่านั้น ไม่ได้นำมา
ใช้ประกอบอาหารจริงๆจังๆ แต่สำหรับ "ผักชีลาว" ผักชีชนิดหนึ่งที่เรามักจะเห็นเป็นส่วน
ประกอบหลักอยู่ในอาหารอีสาน เช่น แกงอ่อม แกงปลา หรือหมกนั้น ไม่ได้เป็นเพียงผัก
ประดับจาน แต่เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่งที่อยากให้ทุกคนลองกินกัน

ผักชีลาวนั้นจะมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้หลายคนชื่นชอบ และหลายคนส่ายหัว
ไม่อยากกิน แต่ผักชีลาวก็เป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณค่ามากมายเช่นกัน โดยคุณค่าทาง
โภชนาการของผักชีลาวนั้นประกอบไปด้วยแร่ธาตุอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส
โพแทสเซียม และธาตุเหล็ก อีกทั้งยังมีเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และวิตามินบีอีกด้วย
ด้านสรรพคุณของผักชีลาวก็คือจะช่วยในการทำงานของกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร แก้
อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการหายใจ
และทำให้มีน้ำนมเพิ่มมากขึ้นในคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร และลดการเกิดโคลิก (Colic)
ในทารกเมื่อกินนมแม่อีกด้วย

รู้งี้ อย่าเขี่ยมันทิ้งอีกนะค่ะ เพื่อนๆๆๆ

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

ถึง เพื่อนๆ ชาว FB ค่ะ

เยี่ยมชม สมุนไพร ของอาจารย์ อุ ได้ นะ ค่ะ ที่ http://www.krisadaherbal.com/index.php
หรือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ค่ะ

FB : nuttasasich

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

http://hitech.sanook.com/blackberry-ทุกรุ่น-blackberry-playbook-ลดราคา-50-เปอร์เซนต์เฉพาะ-941968.html

อ่านทวิตเตอร์ เขาลด ราคา 50% เฉพาะ วันที่ 29 กันยายน นี้ วันเดียว จ้า เพื่อน ๆๆๆใครสนใจ ก็ เข้าไปดู เอาจ้า

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

ต่อด้วย การฆ่าฤทธิ์ค่ะ

3. การฆ่าฤทธิ์ยา
คือ การทำให้พิษของตัวยาที่มีพิษมากหมดไป หรือเหลืออยู่น้อยจนไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยา เช่น การฆ่าสารหนู ทำให้สารหนูที่มีพิษมากหมดพิษลงไป สามารถนำมาใช้ทำยาได้ เป็นต้น

1. การฆ่าสารหนู เอาสารหนูมาบดให้ละเอียด ใส่ในฝาละมีหรือหม้อดิน บีบน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดลงไปให้ท่วมยา ตั้งไฟจนแห้ง ทำให้ได้ 7-8 ครั้ง จนสารหนูกรอบดีแล้วจึงนำมาใช้ทำยาได้ ให้นำภาชนะที่ใช้แล้วทุบทำลาย แล้วฝังดินให้เรียบร้อย (ปัจจุบัน ห้ามใช้ปรุงยาแผนโบราณ)

2. การฆ่าปรอท นำทองแดง ทองเหลือง หรือเงิน ใสไว้ในปรอท ให้ปรอทกินจนอิ่ม (ปรอทแทรกตัวไปในเนื้อโลหะนั้น ๆ เต็มที่) แล้วจึงนำไปใช้ทำยา นิยมทำยาต้ม (เป็นยาอันตราย)

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

ต่อไป เป็นความหมายของการประสะ

2. การประสะ
ประสะ มีความหมายดังนี้

1. การทำให้พิษของตัวยาอ่อนลง เช่น การประสะยางสลัดใด เป็นต้น

2. การทำความสะอาดตัวยา เช่น ล้างเอาสิ่งสกปรกออก ล้างเอาดินออก

3. ตัวยานั้นมีจำนวนเท่ายาทั้งหลาย เช่น ยาประสะกะเพรา ใส่ใบกะเพราหนักเท่าตัวยาอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน เป็นต้น

4. ใช้ในชื่อของยาที่กระทำให้บริสุทธิ์ เช่น ยาประสะน้ำนม เป็นยาที่ช่วยทำให้น้ำนมมารดาบริสุทธิ์ ปราศจากโทษต่อทารก

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

เรามาเรียนรู้ ศัพท์ ของแพทย์แผนไทย กันสักหน่อย ค่ะ
เรื่อง การสะตุ การประสะ การฆ่าฤทธิ์

1. การสะตุ
การสะตุ คือ การทำให้ตัวยามีฤทธิ์อ่อนลง หรือ ทำให้พิษของตัวยาน้อยลง หรือทำให้ตัวยานั้นสะอาดขึ้น หรือทำให้ตัวยานั้นสะอาดปราศจากเชื้อโรค หรือ ทำให้ตัวยานั้นสลายตัวลง เช่น เกลือเมื่อสะตุแล้ว จะละเอียดลง ผสมยาง่ายขึ้น และฤทธิ์อ่อนลง   เช่น

การสะตุสารส้ม เอาสารส้มมาบดให้ละเอียด นำมาใส่หม้อดิน เอาตั้งไฟจนสารส้มละลายฟูขาวดีแล้วยกลงจากไฟนำมาใช้เป็นยาได้
การสะตุหรือฆ่า หัวงูเห่า หัวงูทับทาง อวัยวะของสัตว์ที่มีพิษ นำสิ่งที่จะสะตุใส่ลงในหม้อดินปิดฝาให้สนิท ยาแนวด้วยดินสอพองผสมน้ำพอข้น สุมด้วยไฟแกลบ หรือถ่านไว้ตลอดคืน จึงนำออกมาใช้ปรุงเป็นยาได้

มีต่อ

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

อาหารธาตุเจ้าเรือน 2 ต่อค่ะ

ธาตุ น้ำ ควรรับประทานอาหารรสเปรี้ยว หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด ได้แก่ ขี้เหล็ก แคบ้าน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะเขือเครือ สะเดาบ้าน มะระขี้นก มะระจีน มะแว้ง ใบยอ มะเขือเทศ ตะลิงปิง เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ สับปะรด ส้ม มะเฟือง มะม่วง มะยม

ธาตุ ดิน ควรรับประทานอาหารรสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม ได้แก่ ผักกระโดน กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหิมพานต์ สมอไทย กระถินไทย ผักหวาน ขนุนอ่อน ผักโขม โสน ขจร ยอดฟักทอง บวบเหลี่ยม ผักกูด ดอกงิ้ว เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ มังคุด ฝรั่ง เผือก เงาะ ถั่วต่างๆ
เมื่อทานอาหาร ที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว   อย่าลืม ออกกำลังกาย อาทิตย์ ละ 3 วัน ครั้ง ละ 30 นาที นะค่ะ เพื่อนๆ  ชีวิตแจ่มใส่ ยืนยาว สุขี มีสุข ค่า

อาหารประจำธาตุเจ้าเรือน ต่อ ค่ะ

ธาตุ ไฟ ควรรับประทานอาหารรสขม เย็น และจืด ได้แก่ ผักบุ้ง ตำลึง ผักกระเฉด สายบัว มะระ ผักปริง มะเขือยาว กะหล่ำปลี บัวบก กระเจี๊ยบมอญ สะเดา หยวกกล้วย กุ้ยช่าย เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ แตงโม แอปเปิ้ล มะละกอ พุทรา

ธาตุ ลม ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย ดอกกระเจียว ขมิ้นชัน ผักไผ่ พริกขี้หนูสด สะระแหน่ ผักชีลาว ยี่เหร่า กะเพรา โหระพา เป็นต้น ผลไม้ ได้แก่ ชมพู่ แตงโม แตงไทย

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆๆๆ

วันนี้ มี ข้อมูลดีๆๆ มาฝากค่ะ  เรามาดู อาหารประจำธาตุเจ้าเรือน กันสักหน่อยนะคะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ กับสุขภาพดีๆๆ ของเพื่อนๆๆ ค่ะ

 ธาตุไฟ คือ คนที่เกิดเดือน 2,3,4 หรือมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม

ธาตุลม คือ คนที่เกิดเดือน 5,6,7 หรือเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน

ธาตุน้ำ คือ คนที่เกิดเดือน 8,9,10 หรือกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน

ธาตุดิน คือ คนที่เกิดเดือน 11,12,1 หรือตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

เพื่อนๆ รู้ไหมค่ะ ว่า นี่ต้นอะไร  สับสนมาก อะไร ลำพู อะไร ลำแพ
บอกด้วยค่า

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

“ช่วงเช้า 6 โมงเช้าถึง 10 โมง มักเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ ต้องดื่มน้ำสมุนไพรรสเปรี้ยว อย่างน้ำมะนาว น้ำส้ม

ช่วง 10 โมง ถึงบ่ายสอง มักเจ็บป่วยเพราะธาตุไฟกำเริบ ควรดื่มน้ำสมุนไพรรสขม พวกน้ำบัวบก น้ำมะระ น้ำเมล็ดบัว

พอบ่ายสองถึง 6 โมงเย็น มักเจ็บป่วยเพราะธาตุลมกำเริบ ควรดื่มน้ำสมุนไพรรสเผ็ดร้อน คือ น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำมะตูม

ลองดู นะค่ะ เพื่อนๆๆ แล้วส่งผล ได้ที่
FB :  nutthasasich  ได้เลยคะ

ชมรม อนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

รางจืด ต่อ อีกนิด ค่ะ เป็นประโยชน์มาก

สรรพคุณ : รางจืดที่มีประสิทธิภาพ คือรางจืดชนิดเถาดอกม่วง

รากและเถา - รับประทานแก้ร้อนใน กระหายน้ำ

ใบและราก - ใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำลายพิษยาฆ่าแมลง พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ติดอยู่ในฝักผลไม้ที่รับประทาน เมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกล การนำส่งแพทย์ต้องใช้เวลา อาจทำให้คนไข้ถึงแก่ชีวิตได้ ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่ในบ้าน ใช้ใบรางจืดไม่แก่ไม่อ่อนเกินไปนัก หรือรากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป และมีขนาดเท่านิ้วชี้ มาใช้เป็นยาบรรเทาพิษเฉพาะหน้าก่อนนำส่งโรงพยาบาล (รากรางจืดจะมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า) ดินที่ใช้ปลูก ถ้าผสมขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น จะช่วยให้ต้นรางจืดมีตัวยามากขึ้น

วิธีใช้ :

ใบสด
สำหรับคน 10-12 ใบ
สำหรับวัวควาย 20-30 ใบ
นำใบสดมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวครึ่งแก้ว คั้นเอาแต่น้ำดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ อาจให้ดื่มซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมงต่อมา

รากสด
สำหรับคน 1-2 องคุลี
สำหรับวัวควาย 2-4 องคุลี
นำรากมาฝนหรือตำกับน้ำซาวข้าว แล้วดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ อาจใช้ซ้ำได้อีกใน 1/2 - 1 ชั่วโมง ต่อมา

คำเตือน : การใช้รางจืดสำหรับถอนพิษยาฆ่าแมลง ยาพิษและสตริกนินนั้น ต้องใช้ยาเร็วที่สุดเท่าที่จำทำได้ จึงจะได้ผลดี ถ้าพิษยาซึมเข้าสู่ร่างกายมากแล้ว หรือทิ้งไว้ข้ามคืน รางจืดจะได้ผลน้อยลง

สำหรับ องคุลี ยังหาข้อมูลไม่เจอ ค่ะ แต่ รับรองว่า จะต้องถามอาจารย์ แล้วนำมาเผยแพร่ให้เพื่อนๆ ทราบกันต่อไป ค่ะ

ชมรมสมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

เรื่อง รางจืด 

หลังจากที่ วันนี้ ได้เรียนมา ได้ยิน อาจารย์ บอกว่า รางจืด เป็นพืช ที่ถอนพิษ ที่มีสรรพคุณดีมาก

แต่ เท่าที่ หาอ่านเจอ มีรางจืด อยู่ 2 ชนิด

1.  รางจืด ชนิด เถา ดอกสีม่วง
2.  รางจืด ประเภท เหง้าสีขาว  ที่มีใบเหมือนขมิ้น  ลำต้นดูภายนอกเหมือนขมิ้นขาว มาก

และ ชื่อที่ทางภาคอีสานเรียกว่า   ต้น เขยตายแม่ยายชักปรก  ก็ไม่ต้องตกใจ ค่ะมัน คือ รางจืด ค่ะ

แต่ ในที่นี้ เราจะมาดู รางจืด ชนิดเถา ดอกสีม่วงกันค่ะ   รางจืดนี้ ถ้ารับประทานทุกวัน จะสามารถล้างพิษในโลหิต และ พิษที่ตกค้างในร่างกายได้ ถือ เป็นการ ป้องกันการเกิดมะเร็ง อันเนื่องมากจากสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ที่มาจากการกินของเราในปัจจุบัน นี่แหละค่ะ

ตามตำราเภสัชแผนโบราณกล่าวถึงสรรพคุณของรางจืดไว้ว่ารางจืดมีรสจืดเย็น ใบ ราก เถา ตำคั้นหรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ปวดหู ตำพอกแก้ปวดบวม ทั้งต้นปรุงยาแก้มะเร็ง

โดยภาพรวมแล้วรางจืดเป็นยาประจำบ้าน เป็นหมอประจำบ้าน มีรางจืดอยู่กับบ้านสามารถช่วยชีวิตคนยามฉุกเฉินได้ดีที่สุด แทบจะไม่ต้องพึ่งโรงพยาบาลเลย

ทุกวันนี้มีบริษัทผลิตยาแผนโบราณบางบริษัทผลิตรางจืดแคปซูลออกวางตลาด แต่ใช้ใบรางจืดอบแห้งบดผงแล้วบรรจุแคปซูล ก็มีสรรพคุณที่ดีเหมือนกันแต่ยังไม่ดีที่สุด เพราะส่วนที่ดีที่สุดของรางจืดอยู่ที่ราก

มาดู รูปรางจืดกันค่ะ

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

สบู่ดำต่อ ค่า

พันธุ์สบู่ดำ

พันธุ์ของสบู่ดำที่พบในประเทศไทย มี 3 พันธุ์ คือ

• พันธุ์สบู่ดำที่มีผลทรงกลม ขนาดของผลปานกลาง มีเปลือกหนาปานกลาง ปลูกกันทั่วไปในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

• พันธุ์สบู่ดำที่มีผลทรงกลม หรือรูปทรงของผลยาวกว่าพวกแรกเล็กน้อย ส่วนผลนั้นมีขนาดเท่ากัน แต่มีเปลือกหนากว่า ปลูกมากในภาคเหนือ

• พันธุ์สบู่ดำที่มีผลกลม แต่มีขนาดเล็กกว่า 2 พวกแรก ปลูก ในภาคเหนือ และภาคใต้

โดยพันธุ์เป็นพันธุ์พื้นบ้านใช้เรียกชื่อตามแหล่งปลูก เช่น พันธุ์สตูล มุกดาหาร น่าน เป็นต้น

พันธุ์ของสบู่ดำจากต่างประเทศ

กรมวิชาการเกษตร ได้รับพันธุ์จากต่างประเทศ 3 พันธุ์คือ
• พันธุ์จากประเทศฟิลิปปินส์
• พันธุ์จากประเทศศรีลังกา
• พันธุ์จากประเทศมาเลเซีย

http://it.doa.go.th/vichakan/news.php?newsid=15  แหล่งความรู้ของสบู่ดำ ทั้งหมด ค่ะ

ถือเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่น่าสนใจ อย่างที่อาจารย์ไพบูลย์ กล่าวไว้จริงๆๆ ค่ะ

ชมรม อนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

ความสำคัญการใช้น้ำมันในเครื่องยนต์ดีเซลจากพืชค้นพบโดยชาวเยอรมันชื่อ Dr. Rudolf Diesel เมื่อปี ค.ศ. 1911 จึงได้มีการตั้งชื่อ เพื่อเป็นเกียรติว่า“เครื่องยนต์ดีเซล” ต่อมามีการนำน้ำมันสบู่ดำมาใช้ กับเครื่องยนต์ดีเซลครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ ประเทศมาลี( Mali)แต่ความนิยมและความสะดวกในการใช้น้ำมันจากใต้ผิวโลก ทำให้ การใช้น้ำมันจากพืชจำกัดอยู่ในบางประเทศเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากประสบปัญหาวิกฤตการณ์ของน้ำมันทั่วโลกในช่วงปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา ทำให้มีการสนใจและศึกษาการนำน้ำมันจากพืชต่างๆ รวมถึงต้นสบู่ดำมาใช้ประโยชน์กันอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น

สบู่ดำจัดเป็นพืชในวงศ์ Euphorbiaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับมันสำปะหลัง ยางพารา

มีต่อค่ะ ติดตามตอนต่อไป หุหุ

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทยบางใหญ่

บัวผุด ถือเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
บัวผุดเป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยน้ำเลี้ยงจากรากของพืชชนิดอื่น จะโผล่เฉพาะดอกซึ่งเป็นดอกเดียวขึ้นจากพื้นดินให้เห็นระหว่างฤดูฝนหรือในระยะที่อากาศและพื้นที่ยังมีความชุ่มชื้นสูง คือ ระหว่างพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับลำต้นของบัวผุดมีลักษณะเช่นไร มีการเกาะหรือเชื่อมติดกับพืชที่มันอาศัยอยู่อย่างไร ลักษณะของดอกบัวผุด เมื่อยังตูมอยู่จะคล้ายกับหม้อหรือกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่มีกลีบหนาจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอก 70-80 เซนติเมตร ที่โคนของดอกจะมีกลีบนำสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก ภายในดอกจะมีแผ่นแบนคล้ายจาน ด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลมจานนี้จะซ้อนเกสรตัวผู้และรังไข่ไว้ด้านล่าง (สาขาวิจัยนิเวศวิทยา, 2533)



   ดอกบัวผุดเมื่อยังสดอยู่จะมีน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม กลีบดอกมีความหนาตั้งแต่ 0.5-1 เซนติเมตร นับว่าเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ค้นพบในประเทศไทย ในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย เคยมีรายงานว่า พืชสกุลเดียวกันนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกมากกว่า 100 เซนติเมตร ก็มี



   ถึงแม้ว่าดอกบัวผุดจะมีกลิ่นเหม็นมากก็ตาม แต่เป็นพืชสมุนไพรที่หายากมากและมีคุณค่าสูง คือ นอกจากจะนิยมนำมาใช้ปรุงเป็นยาบำรุงสตรีหลังคลอด ให้มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงมีผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้วยังเป็นยาบำรุงสำหรับบุรุษเพศอีกด้วย

   ในปัจจุบันดอกบัวผุดนับว่าจะหาดูได้ยากยิ่ง ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ป่าไม้ถูกทำลายลงไปอย่างมากทำให้สภาพนิเวศน์ของป่าเปลี่ยนไปมาก จะพบดอกบัวผุดบ้างเฉพาะตามอุทยาแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเท่านั้น เช่น อุทยานแห่งชาติเขาสกจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จังหวัดระยอง เป็นต้น

ชมรมอนุรักษ์ สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

ต่อมา เรามาดู สูตร นางแบบ กันค่ะ จะได้ รู้กันแล้วว่า นางแบบ วันๆๆ เขาทานไร กันค่ะ

*  กินแอปเปิ้ล เขียว 1 ลูก เป็นมื้อเช้าตลอด 7 วัน ( ห้ามกิน ผลไม้หวาน เช่น เงาะ ละมุม มังคุด น้อยหน่า )

*  กินเกาเหลาใส่ผักเยอะๆ สลับกับ ส้มตำ และ ปลาดุกย่างตลอด 7 วัน สำหรับ มื้อกลางวัน

*  กิน ซุปผัก หรือ แกงจืด สลับกับ สลัดผักใส่ไข่ต้มหั่น เป็นแว่น ๆ สลับ กับ แฮมต้ม 2 แผ่น ทั้ง 7 วัน เป็น มื้อเย็นค่ะ

ง่ายเนอะ

ชมรมอนุรักษ์ สมุนไพรไทย สาขา บางใหญ่

สูตรลดน้ำหนักด่วนแบบจีน

*   กินข้าวต้ม 1 ถ้วย ทั้ง เช้า กลางวัน ตลอด 7 วัน
*  กินแกงจืดฟัก ใส่กุ้งแห้ง  1 ถ้วย สลับกับ กินต้มจับฉ่าย ใน มื้อเย็นตลอด 7 วัน

สูตรนี้ง่ายนะค่ะ เพราะ ได้ทานข้าว กัน 2 มื้อ แต่ต้องระวังอย่าทานเยอะไปนะค่ะ

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย บางใหญ่

วันนี้  เรามาดู เรื่อง สูตรลดน้ำหนักของสมเด็จพระเทพฯ กันค่ะ

ย้ำ ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว

วันแรก     

มื้อ เช้า    : น้ำผลไม้ หรือโยเกริต์ 
กลางวัน  :  ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น         :  สลัดผัก

วันที่ 2
เช้า       :  น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
กลางวัน:  ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น       :  โยเกริต์

วันที่ 3

เช้า      :  โยเกริต์ หรือ กาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่ครีม
กลางวัน: เกาเหลาลูกชิ้นหมู
เย็น     :   สัปปะรด 1 ชิ้น

วันที่ 4
เช้า     :  ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้ หรือ กาแฟไม่ใส้น้ำตาล ไม่ใส่ครีม
กลาวัน: สลัดผักและ ไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น    : โยเกริต์

วันที่ 5
เช้า    :  น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
กลางวัน : ส้มต่ำและ ไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น      :  สลัดผัก

วันที่ 6
เช้า     :  น้ำผลไม้ หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
กลางวัน: ปลานึ่ง  หรือ ปลาเผา
เย็น       :  นมสด

วันที่ 7
เช้า   :  ข้าวสวย 1 ทัพพี และ หมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวกับไข่ต้ม1 ลูก
กลาววัน : เกาเหลาลุกชิ้นหมู  
เย็น    : สัปปะรด 1 ชิ้น

วันที่ 8
เช้า     กลาง วัน   เย็น ให้ รับทานอะไร ก็ได้ ตามใจชอบ  และ ถ้าอยากลดต่อ ก็ เริ่มวันที่ 1 ใหม่ค่ะ

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย บางใหญ่

รูป เพชรสังฆาต ค่ะ เพื่อนๆ

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย บางใหญ่

เพชรสังฆาต

ชื่อ :  สันชะฆาต ( กรุงเทพ)  สามร้อยต่อ ( ประจวบ)  ชันข้อ ( ราชบุรี) แป๊ะฮวยหันขัดเช่า (จีน)
ชื่อท้องถิ่น   พญาร้อยปล้อง  สันชะควด

ลักษณะ   เป็นพันธุ์ไม้เลื้อย  ลำต้นเป็นปล้องๆ มีสี่เหลี่ยม แต่ละปล้อง หรือ ข้อจะยาว ประมาณ 10 เซนติเมตร  ตามข้อจะมีมือสำหรับจับหรือเกาะผิวของเถา เป็นสีเขียว  เมื่อโตขึ้นจะเลื้อยพันตามต้นไม้  และแตกกิ่งก้านสาขา มากใบเดี่ยว  ออกข้อละ 1 ใบ

ขอบใบอ่อนมีสีแดงและเป็นหยักห่างๆ ยอดอ่อน ที่แตกออกใหม่มีสีแดงเรื่อๆๆ   ดอกออกตรงข้ามใบเป็นช่อดอกย่อยขนาดเล็ก  กลับดอกด้านนอกสีเขียว   แต่ะละเม็ดโตขนาดเท่าลูกเดือยผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่ จะมีสีแดงสุกจะมีสีดำ

สรรพคุณ

เถา   รสร้อนขมคัน   คั้นเอาน้ำดื่ม  แก้โรคลักปิดลักเปิด  แก้ประจำเดือนไม่ปกติ  แก้ริดสีดางทวาร ขับลม
         ในลำไส้  หรือ ใช้เถาสด กินแก้ริดสีดวงทวาร วันละ 1 ปล้อง  จนครบ 3 วัน 
        โดยหั่นเป็นชิ้นเล้กๆๆ ห่อด้วย เนื้อมะขามเปียก หล้วยสุก   หรือใบ ผักกาดดอง   แบ่งรับทาน
         วันละ 3 ครั้ง ก่อนหรือ หลังอาหารก็ได้  ห้ามเคี้ยว ให้กลืนทั้งห่อ  เพราะ อาจ ระคายต่อเยี่อบุใน
         ปากและคันคอได้

ราก   รักษากระดูกแตก - หัก

ใบ     รักษา กระดูกแตก- หัก  ขับน้ำเหลืองเสีย  แก้ริดสีดวงทวาร  รักษาโรคลำไส้
          ( เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อย)

ต้น   แก้หูน้ำหนวก  แก้เลือดกำเดา  แก้ประจำเดือนไม่ปกติ  ช่วยเจริญอาหาร ชับน้ำเหลืองเสีย

บทบาทที่เห็นได้ชัด  ของ เพชรสังฆาต  คือ เป็นพืชเศรษฐกิจ ในการนำมาเป็นยา รับประทานสำหรับรักษา ริดสีดวงทวารต่างๆ โดยนำใบมาบดเป็นผงอัดเม็ด  บรรจะเป็นแคบซูล ออกมาจำหน่าย

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย

4. ยาดองที่เข้าเกลือ หรือ ดีเกลือ

1. ยาดองที่ผสมด้วยของเค็มมาก ๆ เช่น เกลือ หรือ ดีเกลือ และ ตัวยาแห้งดี ปรุงถูกต้อง มีอายุประมาณ 2 ปี
2. ยาดองอื่น ๆ ที่ไม่ได้เข้าตัวยาเค็ม ๆ มีอายุประมาณ 1 ปี

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย

3.ยาน้ำ น้ำต้ม และยาดอง

1. ยาต้มผสมด้วยใบไม้ล้วน ต้มกินได้ครั้งเดียว แล้วเททิ้งเสีย
2. ยาต้มผสมด้วยแก่นไม้ เครื่องเทศ โกฐเทียน ถ้าต้มอุ่น เช้า-เย็นทุกวัน มีอายุ 7-10 วัน
3. ยาต้มผสมด้วยแก่นไม้ เครื่องเทศ โกฐเทียน หัวพืชแห้ง ถ้าต้มอุ่น เช้า-เย็นทุกวัน อายุ 7-15 วัน

 

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย

2. ยาปั้นเป็นลูกกลอน เป็นเม็ด เป็นแท่ง

1. ยาเม็ดที่ผสมด้วยใบไม้ล้วน 6-8 เดือน เริ่มเสื่อมคุณภาพ 1 ปี อาจหมดคุณภาพ
2. ยาเม็ดที่ผสมด้วยแก่นไม้ล้วน 1 ปี เริ่มเสื่อมคุณภาพ 2 ปี อาจหมดคุณภาพ
3. ยาเม็ดที่ผสมด้วยหัว เหง้า แก่น โกฐเทียน แร่ธาตุ 18 เดือน เริ่มเสื่อมคุณภาพ 2 ปี อาจหมดคุณภาพ
4. ยาเม็ดที่ผสมด้วยใบไม้ หัว โกฐเทียน แร่ธาตุ 8 เดือนก็เริ่มเสื่อมคุณภาพ 2 ปี อาจหมดคุณภาพ อายุของยาเม็ดนี้ ขึ้นอยู่กับการรักษา ถ้าเก็บรักษาดี ไม่ถูกความร้อนความชื้อก็สามารถเก็บไว้ได้นาน แต่ถ้ารักษาไม่ดีก็เสื่อมคุณภาพเร็วกว่าที่กำหนด

 

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย

1. ยาผง

1. ยาผงที่ผสมด้วยใบไม้ล้วน ๆ มีอายุประมาณ 3-6 เดือน
2. ยาผงที่ผสมด้วยแก่นไม้ โกฐเทียน มีอายุประมาณ 6-8 เดือน
3. ยาผงที่ผสมด้วยใบไม้และแก่นไม้ อย่างละครึ่ง มีอายุประมาณ 4-6 เดือน
ยาอาจเสื่อมคุณภาพช้ากว่านี้ ถ้าเก็บรักษาดี ไม่ถูกแดด ฝน ความชื้น ถ้าปล่อยให้ถูกแดด ฝน ความชื้น อาจเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น

 

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย

การสะตุ คือ การทำให้ตัวยามีฤทธิ์อ่อนลง หรือ ทำให้พิษของตัวยาน้อยลง หรือทำให้ตัวยานั้นสะอาดขึ้น หรือทำให้ตัวยานั้นสะอาดปราศจากเชื้อโรค หรือ ทำให้ตัวยานั้นสลายตัวลง เช่น เกลือเมื่อสะตุแล้ว จะละเอียดลง ผสมยาง่ายขึ้น และฤทธิ์อ่อนลง เป็นต้น

ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย

จรรยาแพทย์แผนไทย 

ผู้ที่จะเป็นหมอ จะมีแต่วิชาความรู้เกี่ยวกับยาและรู้จักโรคเท่านั้นก็ยังไม่เพียงพอ ควรต้องเป็นคนมีอัธยาศัยเรียบร้อย เป็นที่พอใจของคนทั้งหลายด้วย จึงจะเป็นหมอที่ดีได้ ถ้ามีแต่ความรู้วิชาของหมอ แต่ไม่เป็นผู้โอบอ้อมอารีต่อคนทั้งหลายแล้ว ก็ไม่มีใครนับถือ

1. มีเมตตาจิตต่อคนไข้ไม่เลือกชั้นวรรณะ
2. ไม่โลภเห็นแก่ลาขของคนไข้ แต่ฝ่ายเดียว
3. ไม่โอ้อวดวิชาความรู้ของตนให้คนไข้หลงเชื่อ
4. ไม่หวงหรือกีดกันหมออื่นซึ่งมีความรุ้ดีกว่า
5. ไม่ลุอำนาจอคติ ๔ คือฉันทา โมหา โทสา ภยาคติ
6. ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ๘
7. มีความละอายต่อบาป
8. ไม่เป็นคนเกียจคร้านมักง่าย
9. มีความละเอียดสุขุม มีสติใคร่ครวญเหตุผล
10. ไม่มัวเมาอบายมุข
 

ยินดีต้อนรับสมาชิกชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่

สวัสดีท่านที่สนใจ สมุนไพร และ สมาชิกชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย


ยินดีต้อนรับสู่ ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย สาขา บางใหญ่