tag:blogger.com,1999:blog-77823884916496087152024-02-19T16:50:43.596-08:00ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทยบางใหญ่nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.comBlogger58125tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-37874867826342331612012-08-09T07:03:00.000-07:002012-08-09T07:03:00.555-07:00พืชที่เป็นพิษวันนี้ เรา จะขอกล่าวถึง พืชที่มีพิษ และ เป็นอันตราย <br />
<br />
1. กลอย <span style="color: #000099;">หากรับประทานหัวกลอยมาก จะกดระบบทางเดินหายใจ และทำให้ตายได้ </span><br />
<br />
2. ดอกดึงหัวขวาน หัวดองดึงจะคล้ายกลอย บางคนทานเพราะเข้าใจว่าเป็นกลอย แต่ <span style="color: #000099;">ส่วนของเหง้าและเมล็ดจะมีสาร alkaloid ที่เรียกว่า colchicine สูง ซึ่ง colchicine
ทำให้เกิดพิษและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ </span><br />
<br />
3. เทียนหยด พบสาร <span style="color: #000099;">ไซยาไนด์ในใบ บางคนไม่ทราบ ไปเด็ดมากิน ทำให้ ถึงแก่ชีวิตได้ </span><br />
<br />
4. ปรง ส่วนที่เป็นพิษของปรงได้แก่ ยอดและเมล็ด<br />
<br />
5. ผกากรอง<br />
<br />
6. พันซาด <span style="color: #000099;"> ทุกส่วนของพิษชนิดนี้ได้แก่ ใบ เนื้อไม้ เปลือกไม้ ราก และเมล็ดมีพิษ
เมื่อรับประทานเข้าไป ก็จะทำให้เกิดอาการมึนเมา อาเจียน หัวใจเต้นผิดปกติ
และทำให้เสียชีวิตได้</span><br />
<br />
7. โพศรี <span style="color: #000099;">อาการพิษจากการบริโภคหรือสัมผัสเมล็ดหรือยางจากส่วนต่างๆ ของต้นโพธิ์ศรี
พบว่าส่วนใหญ่จะมีอาการแสบร้อนในลำคอ ปวดท้อง กระหายน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
(2-6, 8-9)</span><br />
8. มะกล่ำตาหนู ตัวนี้ อันตรายมาก เพราะ ส่งผลต่อ ระบบเกือบจะทุกส่วนต่างๆ ของร่างกาย<br />
<br />
9. มันแกว <span style="color: #000099;">รับประทานเมล็ดมันแกวเข้าไป 200 กรัม เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่า
เป็นเมล็ดถั่วที่รับประทานได้ หลังรับรับประทานไปได้ 2 ชั่วโมง มีอาการเวียนศีรษะ
หน้ามืด ตาลาย (dizzy) อ่อนเพลีย และไม่สามารถก้าวเดินได้ จากนั้นไม่รู้สึกตัว
หน้าซีด เริ่มมีอาการชัก กระตุกที่มือและเท้า ไม่สามารถควบคุมระบบทางเดินปัสสาวะได้
ท้องเสีย และได้เสียชีวิตหลังจากที่รับประทานไปได้ 11 ชั่วโมง </span><br />
<br />
10.ลำโพงขาว <br />
11.ลูกเนียง <span style="color: #000099;">มักเกิดอาการภายใน 2-14 ชม. ภายหลังรับประทาน เริ่มด้วยมีอาการปวดตามบริเวณขาหนีบ
ปัสสาวะลำบาก ปวดปัสสาวะมาก บางรายไม่มีปัสสาวะ (anuria) ปัสสาวะขุ่นข้น
บางคราวปัสสาวะเป็นเลือด บางรายมีอาการปวดท้องแบบ colic ปวดท้องน้อย และปวดหลัง
อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ความดันโลหิตสูง</span><br />
<span style="color: #000099;">ตัวอย่างที่ 1 ชายท่านหนึ่ง จม.ถามมาที่สำนักงานข้อมูลสมุนไพร
มีประวัติว่ารับประทานลูกเนียงเข้าไปประมาณ 10 ลูก มีอาการปัสสาวะไม่ค่อยออก
ปวดท้องน้อยและหลัง แต่หลังจากนอนพัก 4-5 วัน อาการก็หายไป</span><br />
12.ว่านนางกวัก <span style="color: #000099;">มีรายงานพบผู้ป่วยจากการรับประทานว่านนางกวักโดยเข้าใจผิดว่าเป็นต้นบอน
<br /> มีอาการปวดแสบ ปวดร้อนที่คอ
ลิ้น และบริเวณภายในกระพุ้งแก้ม ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน แพทย์ได้ทำการล้างท้อง
งดน้ำและอาหาร ให้ยาเคลือบกระเพาะ และรักษาตามอาการจนกระทั่งผู้ป่วยอาการดีขึ้น </span><br />
13. สบู่ขาว หรือ สลอด<br />
<br />
14.หงอนไก่ เมล็ด เป็นพิษ<br />
<br />
15. เห็ดขี้ควาย <span style="color: #000099;">ภายใน 10-30 นาที หลังจากรับประทานเห็ดเข้าไป จะมีอาการกระวนกระวาย เครียด มึนงง
เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และมักจะหาว กล้ามเนื้อกระตุก สั่น หนาวๆ ร้อนๆ
แขนขาเคลื่อนไหวไม่ได้ ริมฝีปากชา คลื่นไส้ โดยทั่วไปไม่อาเจียน ภายใน 30-60 นาที
จะมีอาการผิดปกติของตา เช่น เห็นเป็นสีต่างๆ ขณะที่ปิดตา
ระบบการรับรู้เรื่องเวลาผิดไป มีอาการเคลิ้มฝัน และการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ เช่น
รู้สึกเศร้า มีความรู้สึกเหมือนฝัน และเปลี่ยนบุคลิก ไม่มีสมาธิ
และไม่สามารถแสดงความรู้สึกได้ถูกต้อง เหงื่อแตก หาว น้ำตาไหล หน้าแดง ม่านตาขยาย
หัวใจเต้นแรง ใน 1-2 ชั่วโมง ความผิดปกติของตาจะเพิ่มมากขึ้น มีอาการฝันต่างๆ
ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปใน 2-4 ชั่วโมง แต่บางรายอาการอาจจะนานถึง 6-8 ชั่วโมง
อาการจะหายไปเองโดยไม่มีอาการค้าง นอกจากอาจมีอาการปวดหัวหรืออ่อนเพลีย
มีน้อยมากที่พบอาการซิโซฟรีเนีย ในเด็กอาการที่พบมีม่านตาขยาย ไข้สูง โคม่า
และมีอาการชัก </span><br /><br />
16.สาวน้อยประแป้ง แม้ว่าอาการพิษที่เกิดจากต้นสาวน้อยประแป้งจะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ต้นสาวน้อยประแป้ง
จัดเป็นพืชที่หาง่ายและขึ้นอยู่ทั่วไป โอกาสที่จะเกิดการสัมผัสยางหรือรับประทาน
พืชต้นนี้เข้าไป โดย รู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจเกิดขึ้นได้ จึงควรที่จะระมัดระวัง <br />
<br />
<br />
<span style="color: #000099;"> พืชสมุนไพรทุกชนิดถ้ามีการใช้ที่ถูกต้องและใช้ในขนาดที่เหมาะสม
ก็จะสามารถรักษาโรคหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วย</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: #000099;">ฉะนั้น เพื่อน นักเรียน หมอยา ทุกท่าน ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ ให้มากนะค่ะ</span>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-24795957652019111562012-08-09T06:37:00.000-07:002012-08-09T06:37:23.872-07:00ความหมายของคำที่ควรทราบเพื่อการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง<strong>ความหมายของคำที่ควรทราบเพื่อการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้อง</strong>
<br />
<ul>
<li>ใบเพสลาด หมายถึงใบไม้ที่จวนแก่
<li>ทั้งห้า หมายถึงส่วนของราก ต้น ผล ใบ ดอก
<li>เหล้า หมายถึงเหล้าโรง (28 ดีกรี)
<li>แอลกอฮอล์ หมายถึงแอลกอฮอล์ชนิดสีขาวสำหรับผสมยา ห้ามใช้แอกอฮอล์ชนิดจุกไฟ
<li>น้ำปูนใส
หมายถึงน้ำยาที่ทำขึ้นโดยการนำปูนที่รับประทานกับหมากมาละลายน้ำสะอาดตั้งทิ้งไว้
แล้วรินน้ำใสมาใช้
<li>ต้มเอาน้ำดื่ม หมายถึงต้มสมุนไพรด้วยการใส่น้ำพอประมาณ
หรือสามเท่าของปริมาณที่ต้องการใช้ ต้มพอเดือดอ่อนๆ ให้เหลือ 1 ส่วนจาก 3
ส่วนข้างต้น รินเอาน้ำดื่มตามขนาด
<li>ชงเอาน้ำดื่ม
หมายถึงใส่น้ำเดือดหรือน้ำร้อนจัดลงบนสมุนไพรที่อยู่ในภาชนะปิดฝาทิ้งไว้สักครู่จึงใช้ดื่ม
<li>1 กำมือ มีปริมาณเท่ากับสี่หยิบมือ
หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรที่ได้จากการใช้มือเพียงข้างเดียวกำโดยให้ปลายนิ้วจรดอุ้งมือโหย่งๆ
<li>1 กอบมือ มีปริมาณเท่าสองฝ่ามือ
หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรที่ได้จากการใช้มือทั้งสองข้างกอบเข้าหากันให้ส่วนของปลายนิ้วแตะกัน
<li>1 ถ้วยแก้ว มีปริมาตรเท่ากับ 250 มิลลิลิตร
<li>1 ถ้วยชา มีปริมาตรเท่ากับ 75 มิลลิลิตร
<li>1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาตรเท่ากับ 15 มิลลิลิตร
<li>1 ช้อนคาว มีปริมาตรเท่ากับ 8 มิลลิลิตร
<li>1 ช้อนชา มีปริมาตรเท่ากับ 5 มิลลิลิตร </li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</ul>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-81329973313378688322012-08-09T06:34:00.000-07:002012-08-09T06:34:06.702-07:00อาการแพ้ยา สมุนไพรอาการที่เกิดจากการแพ้ยาสมุนไพร มีดังนี้
<br />
<ol>
<li>ผื่นขึ้นตามผิวหนังอาจเป็นตุ่มเล็กๆ ตุ่มโต ๆ
เป็นปื้นหรือเป็นเม็ดแบนคล้ายลมพิษ อาจบวมที่ตา (ตาปิด) หรือริมฝีปาก (ปากเจ่อ)
หรือมีเพียงดวงสีแดงที่ผิวหนัง
<li>เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง)
ถ้ามีอยู่ก่อนกินยาอาจเป็นเพราะโรค
<li>หูอื้อ ตามัว ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง
<li>ประสาทความรู้สึกทำงานไวเกินปกติ เช่นเพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ
ลูบผมก็แสบหนังศีรษะ ฯลฯ
<li>ใจสั่น ใจเต้น หรือรู้สึกวูบวาบคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น และเป็นบ่อยๆ
<li>ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเหลืองและเมื่อเขย่าจะเกิดฟองสีเหลือง
(เป็นอาการของดีซ่าน) อาการนี้แสดงถึงอันตรายร้ายแรงต้องรีบไปหาแพทย์
อาการเจ็บป่วยและโรคที่ไม่ควรใช้สมุนไพรหรือซื้อยารับประทานด้วยตนเอง </li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</ol>
<br />
ถ้าบุคคลใกล้ชิด ของท่าน มีอาการดังกล่าว ให้หยุดยา ทันที และ นำส่ง โรงพยาบาลnutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-6725654539836808642012-08-09T06:31:00.000-07:002012-08-09T06:31:04.682-07:00ข้อแนะนำในการใช้สมุนไพร<div align="center">
<span class="l" style="color: #000099; font-family: DokChampa; font-size: large;"><b><u>ข้อแนะนำในการใช้สมุนไพร</u></b></span>
</div>
<br /><b>การใช้สมุนไพรที่ถูกต้อง ควรปฏิบัติดังนี้</b><br />
<br />
<ol>
<li>ใช้ให้ถูกต้น สมุนไพรมีชื่อพ้องหรือซ้ำกันมากและบางท้องถิ่นก็เรียกไม่เหมือนกัน
จึงต้องรู้จักสมุนไพร และใช้ให้ถูกต้น<br />
<li>ใช้ให้ถูกส่วน ต้นสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ดอก เปลือก ผล เมล็ด
จะมีฤทธิ์ไม่เท่ากัน บางทีผลแก่ ผลอ่อนก็มีฤทธิ์ต่างกันด้วย
จะต้องรู้ว่าส่วนใดใช้เป็นยาได้
<li>ใช้ให้ถูกขนาด สมุนไพรถ้าใช้น้อยไป ก็รักษาไม่ได้ผล
แต่ถ้ามากไปก็อาจเป็นอันตราย หรือเกิดพิษต่อร่างกายได้
<li>ใช้ให้ถูกวิธี สมุนไพรบางชนิดต้องใช้สด บางชนิดต้องปนกับเหล้า
บางชนิดใช้ต้มจะต้องรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง
<li>ใช้ให้ถูกกับโรค เช่น ท้องผูกต้องใช้ยาระบาย
ถ้าใช้ยาที่มีฤทธิ์ผาดสมานจะทำให้ท้องผูกยิ่งขึ้น </li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</ol>
<br />
ฉะนั้น นักเรียนหมอยาทุกท่าน ต้องรู้จริง รู้แจ้ง ท่านถึงจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วย ให้กับ คนไข้ได้ <br />nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-10379277309245633672012-08-07T23:53:00.002-07:002012-08-07T23:53:52.786-07:00การบูชาปู่ชีวกถึง เพื่อนๆ แพทย์ แผนไทยทุกท่าน<br />
<br />
วันพฤหัสที่ 9/8 /2555 นี้ ทางชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย จะมีพิธีไหว้ครู ประจำปี ขึ้น<br />
<br />
งานเริ่ม เวลา 8.00 น. อยากให้ เพื่อนๆ มาร่วมงาน กันเยอะๆ ค่ะ <br />
<br />
<br />
วันนี้ มีเพื่อน สมาชิกที่ไปอบรม วิชาชีพกับอาจารย์ โทรมาสอบถามว่า " เราไม่ได้ เรียน แพทย์แผนไทย" แค่ อบรมวิชาชีพ สามารถไปร่วมงานได้ ไหม<br />
<br />
เราในฐานะ ผู้ประกอบอาชีพในด้านนี้ คนหนึ่ง " ตอบได้ทันทีเลยว่า " มาได้ค่ะ <br />
<br />
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ ได้ มีศิษฐ์ร่วมอาจารย์เดียวกัน คือ ปู่ชีวก และ อาจารย์ ไพบูลย์ <br />
<br />
แม้ว่า จะยังไม่เคยเรียน แต่ การประกอบอาชีพในด้านสมุนไพรนี้ อยากให้ เพื่อนๆ ระลึกอยู่เสมอว่า <br />
จรรยาบรรณ เกี่ยวกับ ความสะอาด และ การไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และ อื่นๆ ในอยู่ใน หัวข้อ จรรยาเภสัชนั้น สำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำคัญยิ่งกว่า สิ่งอื่นใดทั้งหมด <br />
<br />
เพื่อน ๆ ที่ เปิด อ่าน Block นี้ ถ้ามาร่วมงานทัน มา ทำบุญมหากุศล กันนะค่ะ เพื่อเป็นสิริมงคล ค่ะ <br />
<br />
<br />
สถานที่ ประกอบพิธี ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย<br />
ซอยโรงเรียน เทพศิรินทร์ นนท์ <br />
มาไม่ถูก สอบถามสถานที่ ได้ ที่เบอร์ 081-1987689 ค่า<br />
<br />nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-25493278419468517462012-06-29T00:19:00.001-07:002012-06-29T00:19:14.793-07:00ย่านางแดง ล้างพิษย่านางแดง<br />
<br />
<strong>ชื่อวิทยาศาสตร์ </strong>Bauhinia strychnifolia, Craib tiliacora
triandra Diels<br /><strong>ชื่อวงศ์</strong> Craib Fabaceae
(Leguminosae-Caesalpinoideae) <br /><strong>ชื่อสามัญ </strong>เครือขยัน, ขยัน,
สยาน, ขยาน <br /><strong>ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ </strong><br /><strong>ต้น</strong>
ไม้เถาเลื้อยค่อนข้างแข้ง ขนาดใหญ่มีเหง้าหัวใต้ดิน เถายาวประมาณ ๔-๑๐ เมตร
สีน้ำตาลเกลี้ยงพาดตามต้นไม้อื่น
กิ่งแขนแขนงแยกออกจากง่ามใบสลับกันไปเป็นระเบียบตามปลายกิ่งแขนง มีมือม้วนเป็นคู่ ๆ
ตรงข้ามกับสำหรับเกาะยึด<br /><strong>ใบ </strong>ใบเดี่ยวออกเรียงสลับมีหูใบเล็ก ๆ
๑ คู่ ๆ ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่มนรี ขนากกว้าง ๓-๖ เซนติเมตร ยาว ๖-๑๒ เซนติเมตร
โคนใบหยักเว้าเล็กน้อย ปลายใบสอบแคบหรือแหลม ผิวใบเกลี้ยงและเป็นมันสีเขียว
เส้นแขนงใบสีแดงคล้ำ ใบยอดอ่อนสีออกแดง <br /><strong>ดอก
</strong>ออกเป็นช่อยาวเรียวตามปลายกิ่ง ดอกเป็นหลอดกลวงโค้งเล็กน้อย
ปลายบานห้อยลงคล้ายกับดอกประทัดจีนมีจำนวนมากช่อหนึ่งยาว ๕๐-๑๐๐ เซนติเมตร
ดอกลู่มาทางโคนช่อแผ่ออก ๒ ข้างของก้านช่อกลีบรองดอกสีแดง
โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวยปลายแยกเป็นแฉกแหลมๆ ๕ แฉก กลีบดอกสีแดงคล้ำมี ๕ กลีบ
มีขนประปรายไม่ขยายบานออกมีเกสรตัวผู้ ๕ อัน ก้านดอกยาวประมาณ ๐.๕ เซนติเมตร
<br /><strong>ผล </strong>เป็นฝักแบน ๆ มีขนสีน้ำตาลนุ่มคล้ายฝักฝาง สีเขียวอ่อน
<br /><strong>สรรพคุณยาไทย</strong> <br />๑.
ใช้เหง้าฝนกับน้ำหรือน้ำซาวข้าวหรือต้มดื่ม ใช้กระทุ้งพิษไข้ กินพิษยาเบื่อเมา
ยาสั่ง ยาสำแดง ถอนพิษ และแก้พิษไข้ทั้งปวง ขับพิษโลหิตและน้ำเหลือง
แก้ท้องผูก<br />๒.เถาย่างนางแดง ใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้พิษทั้งปวง พิษเบื่อเมา
ถอนพิษผิดสำแดง แก้ไข้พิษ ไข้กาฬ ไข้หัว ไข้เซื่องซึม ไข้สุกใส ไข้ป่าเรื้อรัง
ไข้ทับระดู ไข้กลับไข้ซ้ำ บำรุงหัวใจ แก้โรคหัวใจบวม บำรุงธาตุ แก้ท้องผูกไม่ถ่าย
<br />๓.ย่านางแดงชงเป็นชาล้างสารพิษได้ แก้สารตกค้างจากยาฆ่าแมลง
และเกิดอาการแพ้ต่างๆ โดยใช้ใบ หรือ ใช้เถาต้มดื่มเป็นประจำ
จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ หรือกินแทนน้ำ หมายเหตุ
ประเทศญี่ปุ่นกำลังศึกษาวิจัยในการแก้พิษต่างๆ ซึ่งผลคงออกมาไม่นานจากนี้nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-57850248032885307632012-06-29T00:18:00.004-07:002012-06-29T00:18:40.738-07:00มะขามป้อม ล้างพิษมะขามป้อม<br />
<br />
<strong>ชื่อวิทยาศาสตร์ </strong><em>Phyllanthusemblica</em> Linn.
<br /><strong>ชื่อวงศ์ </strong>Euphorbiaceae <br /><strong>ชื่อสามัญ </strong>Emuc
myrabolan, Malacca tree <br /><strong>ลักษณะทางพฤกศาสตร์</strong> <br /><strong>ต้น
</strong>เป็นไม้ต้นสูง ๑๐-๑๒ เมตร เปลือกต้นสีเทาอมน้ำตาล แตกเป็นร่องตามยาว
กิ่งก้านแข็ง เหนียว <br /><strong>ใบ</strong>
เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับในระนาบเดียวกัน รูปขอบขนาด กว้าง ๑-๕ มิลลิเมตร ยาว ๔-๑๕
มิลลิเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบมนหรือเว้าเข้า ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว
<br /><strong>ดอก </strong>ออกเป็นช่อ เป็นกระจุกเล็กๆ ดอกสีเหลืองอ่อนออกเขียว
กลีบดอกมี ๕-๖ กลีบ มีเกสรเพศผู้สั้น ๆ ๓-๕ อัน ก้านดอกสั้น <br /><strong>ผล
</strong>เป็นรูปทรงกลม ขนาด ๑-๓.๒ เซนติเมตร เป็นพูตื่น ๆ ๖ พู ผิวเรียบ
ผลอ่อนสีเขียวอมเหลือง พอแก่เป็นสีเหลืองออกน้ำตาล เมล็ดรูปรี เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง
<br /><strong>สรรพคุณทางยา</strong> <br /><strong>ผลสด</strong> โตเต็มที่
รสเปรี้ยวอมฝาดจะรู้สึกหวานตาม แก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ แก้โรคลักปิดลักเปิด
เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง<br /><strong>น้ำจากผล</strong> แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
<br /><strong>การใช้ประโยชน์ทางยา</strong> <br />๑.รากแห้งของมะขามป้อม ต้มดื่ม
แก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต <br />๒.รากสดมะขามป้อม
นำมาพอกแผลตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้ <br />๓.เปลือกต้น ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง
โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่ม แก้โรคบิดและฟกช้ำ <br />๔.ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก
แก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน ๑๐-๓๐ อัน มาต้มกับน้ำแล้วใช้อมหรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย
กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก <br />๕.ผลมะขามป้อมสด
ใช้รับประทานเป็นผลไม้ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ
ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ รักษาเลือดออกตามไรฟัน
หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ
<br /><strong>หมายเหตุ</strong> ใช้ผลโตเต็มที่ไม่จำกัดจำนวน กัดเนื้อเคี้ยวอมบ่อยๆ
แก้ไอ หรือใช้ผลไม้สด ๑๐-๓๐ ผล ตำคั้นน้ำรับประทาน แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
<br />๖.ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่ม แก้ท้องเสีย โรคหนองใน บำรุงธาตุ
รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อยุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตา
หรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง ๗.เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นถ่าน
ผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้ตุ่มคัน หืด หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด
หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา แก้คลื่นไส้ อาเจียน <br /><strong>สาระสำคัญ</strong>ที่พบ
<br /><strong>ผลสด</strong> มีวิตามินซี ร้อยละ ๑-๑.๘ %
นับว่ามีปริมาณมากและปริมาณค่อนข้างแน่นอน (วิตามินซีในน้ำคั้นจากผลมะขามป้อม
มีมากประมาณ ๒๐ เท่าของน้ำส้มคั้น มะขามป้อม ๑ ผล
มีปริมาณวิตามินซีเทียบเท่าที่มีในผลส้ม ๑-๒ ผล) นอกจากนั้นยังมีสารเทนนิน (tannin)
๒๘ %
<br /><strong>ผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์</strong>๑.มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ
โดยพบว่าสารจากมะขามป้อมต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก
แม้ว่ามะขามป้อมจะมีวิตามินซีสูงมาก
แต่ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมิได้เกิดจากวิตามินซีเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบันพบว่าในมะขามป้อมมีสารพวกแทนนินซึ่งประกอบด้วย Emblicanin A ๓๗ %
Emblicanin B ๓๓ % Punigluconin ๑๒ % และ Peduculagin ๑๔ %
<br />๒.มีฤทธ์การต้านแบคทีเรีย โดยผลมะขามป้อม ทำให้เป็นกรดด้วยกรดเกลือ
แล้วสกัดด้วยอีเทอร์และแอลกอฮอล์
สารสกัดทั้งสองนี้มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อเชื้อรา
สารสกัดด้วยอีเทอร์มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
ได้แรงกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ น้ำสกัดจากเปลือกต้นมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อ
Staphylococcus aureus, Staphylococcus strain B, Pseudomonas aeruginosa และ
Escherichia colinutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-33652458906883659502012-06-29T00:18:00.000-07:002012-06-29T00:18:03.031-07:00รางจืด ล้างพิษ<div align="left">
<strong>รางจืด</strong></div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
<strong>ชื่อวิทยาศาสตร์</strong> <em>Thunbergia laurifolia</em>
Lindl. <br /><strong>ชื่อวงศ์</strong> Acanthaceae<br /><strong>ชื่อทั่วไป</strong>
กำลังช้างเผือก, ขอบชะนาง, เครือเขาเขียว, ยาเขียว (ภาคกลาง) คาย, รางเย็น (ยะลา)
จอลอดิเออ, ดุเหว่า, ซั้งกะ, ปั้งกะล่ะ, พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ดุเหว่า
(ปัตตานี), ทิดพุด (นครศรีธรรมราช), น้ำนอง (สระบุรี), ย่ำแย้, แอตแอ (เพชรบูรณ์)
<br /><strong>ลักษณะทางพฤกศาสตร์ <br />ต้น</strong>ไม้เลื้อย/ไม้เถา
เนื้อแข็ง<br /><strong>ใบ</strong> ใบเดี่ยว
ออกตรงข้ามรูปขอบขนานหรือรูปไข่ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนเว้า มีเส้น ๓
เส้นออกจากโคนใบ <br /><strong>ดอก</strong> เป็นดอกมีสีม่วงอมฟ้า
ออกเป็นช่อห้อยลงตามซอกใบ ใบประดับสีเขียวประแดง กลีบเลี้ยงรูปจาน ดอกรูปแตรสั้น
<strong>โคน</strong>กลีบดอกสีเหลืองอ่อน เชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น ๕ กลีบ
เกสรเพศผู้ ๔ อัน <br /><strong>ผล</strong> เป็นฝักกลม ปลายเป็นจะงอย
เมื่อแก่แตกเป็น ๒ ซีก <br /><strong>ส่วนที่ใช้</strong> ใบ ราก และเถาสด
<br /><strong>ข้อบ่งใช้</strong> ลดไข้ (antipyretic) และถอนพิษ (detoxification)
<br /><strong>สรรพคุณยาไทย</strong> <br /> ๑.รางจืดชนิดเถาดอกม่วง ใบและราก
ใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำลายพิษยาฆ่าแมลง
<br /> ๒.แก้พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย
โดยใช้ใบรางจืดที่ไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป หรือรากที่มีอายุเกิน ๑ ปีขึ้นไป
หรือขนาดเท่านิ้วชี้ มาตำพอแหลกคั้นผสมกับน้ำซาวข้าว เอาน้ำดื่ม
ใช้เป็นยาบรรเทาพิษเฉพาะหน้าก่อนนำส่งโรงพยาบาล (รากรางจืดจะมีตัวยามากกว่าใบ ๔-๗
เท่า) <br /><strong>คำเตือน</strong> การใช้รางจืดสำหรับถอนพิษยาฆ่าแมลง
ต้องใช้ยาโดยทันที ถ้าพิษซึมเข้าสู่ร่างกายมาก ผลของยารางจืดก็จะได้ผลน้อยลง
<br /> ๓.ใช้น้ำคั้นจากใบสด แก้ไข้ ถอนพิษของยาพิษ พืชพิษ เห็ดพิษ
พิษจากสัตว์ต่างๆ ใช้แก้อักเสบ <br />
๔.ใบรางและรากรางจืดใช้ตำพอกแก้ปวดลดบวม รักษาโรคข้ออักเสบ และปวดบวม
<strong><br />ข้อมูลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของรางจืด</strong> <br />
๑.การศึกษาฤทธิ์ข้างเคียงของรางจืดขณะใช้ต้านพิษยาฆ่าแมลง พบว่า
น้ำสกัดใบรางจืดสามารถกดประสาทส่วนกลางทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ (ชัชวดี
ทองทาบและคณะ จาก ม.เชียงใหม่) <br />
๒.การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของใบรางจืด
พบว่าไม่มีผลเป็นพิษต่อหนูขาวและน้ำสกัดรางจืดด้วยน้ำร้อนลดอัตราการตายของหนูขาวได้
และพบว่าใบรางจืดแห้งใช้แก้พิษโพลิดอนได้เช่นเดียวกับใบรางจืดสด
และแก้พิษยาฆ่าแมลงประเภท Organophosphates ได้ดี (วีระวรรณ เรืองยุทธิการ์
ม.เชียงใหม่) <br /> ๓.การทดลองความเป็นพิษของน้ำสกัดใบรางจืด พบว่า
น้ำสกัดใบรางจืดไม่มีพบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยทั่วไปของหนูขาวและไม่พบความผิดปกติของอวัยวะภายใน
เมื่อหนูเสียชีวิต (วีระวรรณ วิสิฐพงศ์พันธ์ และคณะ ม.เชียงใหม่) <br />
๔.การศึกษาฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต พบว่า
หนูทีได้รับสารสกัดรางจืดรอดชีวิตร้อยละ ๓๐ ส่วนกลุ่มควบคุมไม่มีตัวใดรอดชีวิต
(สุชาสินี คงกระพันธ์และคณะ กระทรวงสาธารณสุข ) <br />
๕.รายงานผู้ป่วยพิษแมงดาทะเล ๔ ราย รักษาด้วยสมุนไพรรางจืด พบว่า
สมุนไพรรางช่วยถอนพิษผู้ป่วยระยะวิกฤตระดับ ๔ จำนวน ๒
รายที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและรูม่านตาไม่ตอบสนองให้กลับฟื้นเป็นปกติได้หลังได้รับสารสกัดสมุนไพร
เป็นเวลา ๔๐ นาที (สุพรรณี ประดิษฐ์สถาวงษ์ กระทรวงสาธารณสุข) </div>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-83918307206909307152012-06-29T00:17:00.000-07:002012-06-29T00:17:24.386-07:00ย่านาง ล้างพิษย่านาง<br />
<br />
<strong>ชื่อวิทยาศาสตร์ </strong><em>Tiliacora ; Trian dra (Colebr.) </em>Diels
<br /><strong>ชื่อวงศ์ </strong>Menispermaceae <br /><strong>ชื่อสามัญ
</strong>(ภาคกลาง) เถาย่านาง, เถาหญ้านาง, เถาวัลย์เขียว, หญ้าภคินี (เชียงใหม่)
จ้อยนาง, จอยนาง, ผักจอยนาง (ภาคใต้) ย่านนาง, ยานนาง, ขันยอ (สุราษฎร์ธานี)
ยาดนาง, วันยอ (ภาคอีสาน) ย่านางอื่น ๆ เครือย่านาง, ปู่เจ้าเขาเขียว, เถาเขียว
<br /><strong>ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ <br />ต้น</strong> เป็นไม้เถาเลื้อย
เกี่ยวพันไม้อื่น เป็นเถากลม ๆ ขนาดเล็ก เหนียว มีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีเข้ม
บริเวณเถามีข้อห่างๆ เถาอ่อน มีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่ผิวค่อนข้างเรียบ
<br /><strong>ราก</strong> มีหัวใต้ดิน รากมีขนาดใหญ่ <br /><strong>ใบ
</strong>เป็นใบเดี่ยวคล้ายใบพริกไทย ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่
หรือรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว ๕-๑๐ ซม.กว้าง ๒-๔ ซม. ขอบใบเรียบ
ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ก้านใบยาว ๑-๑.๕ ซม. ในภาคใต้ใบค่อนข้างเรียวยาวแหลมกว่า
สีเขียวเข้ม หน้าและหลังใบเป็นมัน <br /><strong>ดอก</strong> ออกตามซอกใบ ซอกโคนก้าน
จากข้อเถาแก่เป็นช่อยาว ๒-๕ ซม.ช่อหนึ่ง ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง ๓-๕
ดอกออกดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ขนาดโตกว่าเมล็ดงาเล็กน้อย
ต้นเพศผู้จะมีดอกสีน้ำตาล อับเรณุสีเหลืองอ่อน ดอกย่อยของต้นเพศผู้จะมีขนาดเล็ก
ก้านช่อดอกมีขนสั้น ๆ ละเอียด ปกคลุมหนาแน่น ออกดอกช่วงเดือน
เมษายนผลรูปร่างกลมเล็ก ขนาดเท่าผลมะแว้ง สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดง
หรือสีแดงสด และกลายเป็นสำดำในที่สุด <br /><strong>รสและสรรพคุณยาไทย</strong>
ย่านางมีรสจืดเย็น มีสรรพคุณในการดับพิษร้อน รากย่านางสามารถใช้แก้ไข้ได้ทุกชนิด
<strong>สรรพคุณทางยา</strong> <br /><strong>ราก</strong> ใช้แก้ไข้ทุกชนิด
ทั้งไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้หัด ไข้ฝีดาษ ไข้กาฬ ไข้ทับระดู<br /><strong>ใบ</strong>
แก้เบื่อเมา กระทุ้งพิษไข้ แก้ไข้ แก้พิษเมา แก้อาการผิดสำแดง แก้ไข้กลับ
แก้เลือดตก แก้กำเดา แก้ลม ลดความร้อน <br /><strong>เถา</strong> แก้ไข้
ลดความร้อนในร่างกาย ข้อมูลทางเภสัชวิทยาระบุว่า ต้านมาลาเรีย
ยับยั้งการหดเกร็งของลำไส้ ต้าน <br /><strong>การใช้ประโยชน์ทางยา
</strong><br />๑.รากแห้งใช้แก้ไข้ โดยใช้ครั้งละ ๑ กำมือ (หนัก ๑๕ กรัม) ต้มน้ำดื่ม
๓ ครั้งก่อนอาหาร <br />๒.สำหรับคนที่เป็นผดผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆ หรือไข้ออกตุ่ม
ก็ใช้น้ำคั้นใบย่านางชโลมตามผิวบริเวณที่เป็น หรือผสมกับดินสอพองใช้ทาทิ้งไว้
<br /><strong>การทำเป็นอาหาร</strong>
ชาวไทยภาคอีสานและภาคเหนือนำใบย่านางมาใช้ประกอบอาหาร โดยเอาน้ำคั้นจากใบทำน้ำแกง
คือแกงหน่อไม้หรือต้มเปรอะ แกงขี้เหล็ก แกงหวาย ลาบหมาน้อย ลาบเทา ต้มหน่อไม้
การประกอบอาหารดังกล่าวนี้ใช้น้ำคั้นใบย่านางจะช่วยฆ่าพิษหรือดับพิษของอาหารที่ประกอบนั้น
เช่น หน่อไม้ จัดเป็นอาหารแสลงที่ทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดเข่า
ถ้าเป็นหญิงมักมีตกขาว หรือคันในช่องคลอดร่วมด้วย สำหรับคนรักสุขภาพ
มีการแนะนำสูตรเครื่องดื่มพร้อมวิธีปรับปรุงสูตรเพื่อเพิ่มรสชาติ เช่น ใบย่างนาง
เสลดพังพอน ตำลึง ผักบุ้ง อ่อมแซบ บัวบก หญ้าปักกิ่ง ใบเตย ฝรั่ง
เลือกใบย่านางเป็นหลัก ส่วนผสมอื่นๆ เลือกตามสะดวกและหาได้ จะตำคั้น หรือปั่น
หรือใช้เครื่องแยกกาก ก็ตามสะดวก แล้วแต่งรสชาติด้วย น้ำมะพร้าว น้ำอ้อย น้ำผึ้ง
หรือไม่แต่งรสก็ได้ รับประทานเพื่อบำรุงสุขภาพ <br /><strong>สารสำคัญที่พบ
</strong>จากการวิจัยพบว่า สารเคมีที่พบในรากย่านาง คือ Alkaloid ซึ่งมี
Tiliacorine. Ttliacorinine. NortiliacorinineA
Tiliacorinine-2-N-Oxide<br /><strong>การศึกษาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
</strong><br />๑.น้ำคั้นจากใบย่านางมีคลอโรฟิลล์ สามารถเพิ่มความสดชื่น
ปรับสมดุลร้อนเย็นในร่างกาย ลดไข้ ปวดแขนขา แสบร้อนเบ้าตา เป็นผดผื่นคัน แพ้อากาศ
สามารถล้างสารพิษที่สะสมในระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมาจากอาหารและสิ่งแวดล้อม
<br />๒.ข้อมูลทางโภชนาของย่านางระบุว่ามีเบต้าแคโรทีนสูง สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย อุดมด้วยเส้นในอาหาร แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัสnutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-48917014906336032622012-06-29T00:16:00.005-07:002012-06-29T00:16:55.501-07:00ข่อยล้างพิษข่อย<br />
<br />
<div align="left">
<strong>ชื่อวิทยาศาสตร</strong>์<em> Streblus asper</em> Lour.
<br /><strong>ชื่อวงศ์</strong> Moraceae <br /><strong>ชื่อสามัญ</strong> Siamese
rough bush, Tooth brush tree <br /><strong>ชื่อสามัญ</strong> ตองขะแหน่
(กาญจนบุรี), กักไม้ฝอย (ภาคเหนือ), ส้มพอ (เลย) <br /><strong>ลักษณะทางพฤกศาสตร์
<br />ต้น </strong>เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นค่อนข้างคดงอ เป็นปุ่มปม
หรือเป็นพูเป็นร่องทั่วไป อาจขึ้นเป็นต้นเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม แตกกิ่งต่ำ
บางครั้งพบว่าเกือบชิดดิน เรือนยอดเป็นรูปวงกลม กิ่งก้านสาขามาก เปลือกสีเทาอ่อน
เปลือกแตกเป็นแผ่นบางๆ มียางสีขาวเหนียวซึมออกมา <br /><strong>ใบ
</strong>ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับมีขนาดเล็ก รูปใบรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง ๒-๒.๕
เซนติเมตร ยาว ๔-๗ เซนติเมตร เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวสากเหมือนกระดาษทรายทั้งสองด้าน
<br /><strong>ดอก </strong>ออกเป็นช่อสีขาวเหลืองอ่อน ออกตามปลายกิ่ง
ดอกเดี่ยวแต่รวมกันเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างดอกกัน
<br /><strong>ผล</strong>สดกลม เมล็ดโตขนาดเมล็ดพริกไทย มีเนื้อเยื่อหุ้ม
ผลแก่จัดจะมีสีเหลือง ซึ่งมีรสหวาน นกจะชอบกินผลข่อย <strong>ประโยชน์ทางยา
</strong><br />๑.ใช้กิ่งสด ขนาดยาว ๕-๖ นิ้วฟุต หั่นต้มใส่เกลือเคี่ยวให้งวด
เหลือน้ำครึ่งเดียว อมเช้า-เย็น ทำให้ฟันทน ไม่ปวดฟัน
<br />๒.ใช้เปลือกต้มกับน้ำรับประทาน แก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ไข้
<br />๓.ใช้เปลือกต้นมวนสูบ แก้ริดสีดวงจมูก <br />๔.ใช้เมล็ด รับประทาน
และต้มน้ำอบบ้วนปาก เป็นการฆ่าเชื้อโรคในช่องปาก และโรคทางเดินอาหาร
ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ <br />๕.นำใบมาคั้นให้แห้ง ชงน้ำรับประทาน
บรรเทาอาการปวดของมดลูกระหว่างมีประจำเดือน <br /><strong>สารเคมีที่พบ</strong>
<br /><strong>ผล </strong>จะมีน้ำมันระเหย ๑-๑.๔ % ไขมัน ๒๖ % และ
ในน้ำมันนี้จะประกอบด้วยสารพวก เทอปีน (terpenes) อยู่หลายชนิด และพวกเจอรานิออล
(geranilo) พวกแอลกอฮอล์การบูน (camphor) ฯลฯ และนอกจากนี้ยังมีน้ำตาลอ้อย
(sucrose) น้ำตาลผลไม้ (fructose) น้ำตาลกลูโคส <br /><strong>ทั้งต้น</strong> มีสาร
ลินาโลออล (linalool) โนนานาล (nonana) ดีคาลนาล (decanal) วิตามินซี ๙๒-๙๘
มก.%<br /><strong>เมล็ด </strong>จะมีสารประกอบพวกไนโตเจน ๑๓-๑๕ เปอร์เซ็นต์
และสารอนินทรีย์ ๗ % มีน้ำมันระเหย ๑ % ซึ่งมีสารส่วนใหญ่ในน้ำมันระเหยนั้นเป็น
d-linalool ประมาณ ๗๐% <br /><strong>ใบ
</strong>คั้นเอาน้ำดื่มทำให้อาเจียนถอนพิษยาเบื่อยาเมาหรืออาหารแสลง </div>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-10932954651650477382012-06-29T00:16:00.001-07:002012-06-29T00:16:10.622-07:00สมุนไพร ล้างพิษสมุนไพร ล้างพิษ มี <br />
<br />
1. ข่อย<br />
<br />
2. ย่านาง<br />
3. รางจืด <br />
4. มะขามป้อม<br />
5. ย่านางแดง<br />
<br />
เด่ว เราจะมาดู ในรายละเอียดแต่ละตัวกันนะค่ะ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-33692870244343410982012-04-24T04:55:00.002-07:002012-04-24T04:55:57.662-07:00<h1>
<span style="font-weight: 400;"><u><span style="color: red; font-family: MS Sans Serif;">ริดสีดวงทวาร</span></u></span></h1>
<br />
<ol>
<li><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>เพชรสังฆาต</strong>ใช้เถา ขนาด 2-3
องคุลี สอดใส่ลงกล้วยสุก กิน 10-15 วัน</span> </li>
</ol>
คำว่า องคุลี บางตำรา ก็บอกว่า นิ้ว ชี้ , บางตำรา ก็บอกว่า นิ้วกลาง แต่ ทั้งสองนิ้ว ก็เท่ากันค่ะ <br />
<br />nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-16929183908534960332012-04-24T04:49:00.003-07:002012-04-24T04:49:46.201-07:00วันนี้ มีเพื่อนสมาชิก โทรมาสอบถามเรื่อง อาการคัน เกิดจากอะไร และ แก้อย่างไร<br />
<br />
<h1>
<span style="font-weight: 400;"><u><span style="color: red; font-family: MS Sans Serif;">แก้ผื่นคัน</span></u></span></h1>
<br />
<ol>
<li><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>ขมิ้นชัน</strong>ใช้เหง้ามาทำให้แห้ง
บดให้เป็นผงละเอียด ใช้ทาบริเวณผื่นคัน โดยเฉพาะในเด็กจะนิยมใช้มาก</span>
</li>
<li><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>ตำลึง</strong>ใช้ใบสด 1 กำมือ
ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย คั้นน้ำเอามาทาบริเวณที่มีอาการ
พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำอีก จนกว่าจะหาย</span>
</li>
<li><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>สำมะงา</strong>ใช้กิ่ง 3-4 กำมือ
สับเป็นท่อนๆ ต้มน้ำอาบ</span>
</li>
<li><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>เสลดพังพอน</strong>ใช้ใบสด 1 กำมือ
ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่มีอาการ หรือตำผสมเหล้าเล็กน้อยก็ดี</span>
</li>
<li><span style="font-family: MS Sans Serif;"><strong>เหงือกปลาหมอ</strong>เอาต้น รากสด
หรือแห้ง สับเป็นท่อนเล็กๆ 1 ขีด ผสมกับน้ำ 3-4 ขัน ต้มให้เดือด 10 นาที ก่อนอาบยา
ให้อาบน้ำฟอกสบู่เสียก่อน และอาบเมื่อยังอุ่นอยู่ วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3-4 ขัน
อาบแล้วไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาซ้ำอีก</span> </li>
</ol>
ความจริงมีหลายตัวมากๆ ค่ะ แต่ เท่านี้ ก็สามารถทำให้เพื่อน ๆ หายคันแล้วค่ะ<br />
<br />
ลองดูนะค่ะnutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-91885863065691444422012-04-23T06:02:00.003-07:002012-04-23T06:02:51.864-07:00<strong><span data-scayt_word="สมุนไพร" data-scaytid="60">หากใครต้องการ เปิดร้านขาย สมุนไพร ก็มาดูกันค่ะ ว่า ต้องทำอย่างไร</span></strong><br />
<br />
<strong><span data-scayt_word="สมุนไพร" data-scaytid="60">สมุนไพร</span> หมายถึง พืช
<span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="44">หรือ</span> <span data-scayt_word="ส่วนของพืชสมุนไพร" data-scaytid="62">ส่วนของพืชสมุนไพร</span>
<span data-scayt_word="อาจอ" data-scaytid="63">อาจอ</span>ย<span data-scayt_word="ู่ในสภาพสดหรือแห้งก็ได้" data-scaytid="64">ู่ในสภาพสดหรือแห้งก็ได้</span> <span data-scayt_word="แต่ที่สำคัญคือ" data-scaytid="65">แต่ที่สำคัญคือ</span> <span data-scayt_word="สมุนไพรนั้น" data-scaytid="66">สมุนไพรนั้น</span>ย<span data-scayt_word="ังมิได้ผ่านการแปรรูปใดๆ" data-scaytid="67">ัง<u>มิได้ผ่านการแปรรูปใดๆ</u></span></strong> <span data-scayt_word="ส่วนการบดห" data-scaytid="68">ส่วนการบดห</span>ย<span data-scayt_word="าบโด" data-scaytid="69">าบโด</span>ย<span data-scayt_word="ที่เรา" data-scaytid="70">ที่เรา</span>ย<span data-scayt_word="ังสามารถแ" data-scaytid="71">ังสามารถแ</span>ยกแยะได้ ว่าเป็นพืชใด
ได้มาจากส่วนใดของพืชนั้น ไม่ถือว่าเป็นการแปรรูป <b>ประชาชนโดยทั่วไปสามารถผลิต
และขายสมุนไพรได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ห้ามโฆษณาสรรพคุณทางยา</b><br /><br />ส่วนคำว่า
ยาจากสมุนไพร นั้นมี 2 ลักษณะ คือ ยาสมุนไพร และยาตำรับ <span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="45">หรือ</span>ยาสำเร็จรูป <br />
<br />
<span style="color: red;">ยาสมุนไพร</span>นั้น
อาจเป็นสมุนไพรไม่แปรสภาพหรืออาจผ่านการบด หยาบบรรจุซองก็ได้
ผู้ผลิตยาสมุนไพรจะต้องขออนุญาตผลิต แต่ไม่ต้องขึ้นทะเบีย<span data-scayt_word="นตำรับ" data-scaytid="46">นตำรับ</span>ยา
และสามารถแสดงสรรพคุณยาบนฉลากได้ตามที่กำหนด
โดยจะต้องได้รับอนุญาตให้แสดงสรรพคุณบนฉลาก และโฆษณาเสียก่อน
ส่วน<u>การขา</u><u>ยยาสมุนไพรนั้นไม่ว่าใครจะขายก็ได้ไม
่ต้องขออนุญาต</u> <br />
<br />
<b><span style="color: red;">ส่วนยาตำรับหรือยาสำเร็จรูป</span>นั้น สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2
ลักษณะคือ ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณและยาที่ไม่ใช่ยา
</b><b>สามัญประจำบ้าน</b>ซึ่งในการผลิตยาตำรับนี้ ผู้ผลิตต้องขออนุญาตผลิต
และขึ้นทะเบีย<span data-scayt_word="นตำรับ" data-scaytid="47">นตำรับ</span>ยาเสียก่อน
และการแสดงฉลากนั้นต้องมีข้อความตามที่กฎห มายกำหนด และตรงกับที่ขึ้นทะเบียนไว้
ส่วนการโฆษณาผ่านสื่อนั้นต้องขออนุญาตก่อน <b>ประชาชนทั่วไปสามารถขายยาตำรับนี้ได้เลยหากเป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่หากไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้านจะต้องได้รับ
อนุญาตก่อนจึงจะขายได้</b><br /><br />นอกจากใช้เป็นยาแล้ว <span data-scayt_word="สมุนไพร" data-scaytid="61">สมุนไพร</span>ยังถูกแปรรูปไปเป็นอาหาร ซึ่งเราเรียกว่า
อาหารสมุนไพรตัวอย่างของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ได้แก่ <u><span style="color: magenta;">เครื่องดื่มสมุนไพรบรรจุขวด
เครื่องดื่มผงสำเร็จรูป แยม อาหารสมุนไพรเหล่านี้</span><span style="color: magenta;">ไม่สามารถระบุสรรพคุณ
ทางยาบนฉลากได้</span></u> <br />
<br />
นอกจากนี้ อาหารเสริมสุขภาพก็เป็นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอีกจำพวกหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมสูง เช่น <span style="color: red;">กระเทียมแคปซูล</span> <span style="color: red;">ส้มแขกแคปซูล</span> เป็นต้น
อาหารเหล่านี้จัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ จะต้องขออนุญาตและขึ้นทะเบียนตำรับอาหารก่อนจึงจะผลิตได้ <br />
<br />
นอกจากนี้แล้วสมุนไพรยังสามารถนำมาผลิตเป็
นผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพอื่นๆได้ เช่น ยาสระผมสมุนไพร
และอื่นๆอีกมากมาย<br />
<br />
ทำทุกอย่างกันให้ทุกต้องนะค่ะ <br />nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-5931339389553422572012-04-23T05:58:00.002-07:002012-04-23T06:08:48.592-07:00ใครอยากเปิดร้านขายยา สมุนไพร มาอ่านกันหน่อยจ้า <span style="color: red;">ย้ำ ร้านขายยา</span> <br />
<br />
ย<span data-scayt_word="าแผนโบราณ" data-scaytid="8">าแผนโบราณ</span> หมายถึง
ย<span data-scayt_word="าที่มุ่งหมา" data-scaytid="13">าที่มุ่งหมา</span>ย<span data-scayt_word="สำหรับใช้ในการประกอบโรคศิลป" data-scaytid="14">สำหรับใช้ในการประกอบโรคศิลป</span>
<span data-scayt_word="ะแผนโบราณ" data-scaytid="15">ะแผนโบราณ</span> <span data-scayt_word="หรือการบำบัดโรคสัตว์" data-scaytid="16">หรือการบำบัดโรคสัตว์</span> <span data-scayt_word="ซึ่งอ" data-scaytid="17">ซึ่งอ</span>ย<span data-scayt_word="ู่ในตำรา" data-scaytid="18">ู่ในตำรา</span>ย<span data-scayt_word="าแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกา" data-scaytid="19">าแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกา</span>ศ
<span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="20">หรือ</span>ย<span data-scayt_word="าที่รัฐมนตรีประกาศเป็น" data-scaytid="26">าที่รัฐมนตรีประกาศเป็น</span>ย<span data-scayt_word="าแผนโบราณ" data-scaytid="9">าแผนโบราณ</span> <span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="21">หรือ</span>ย<span data-scayt_word="าที่ได้รับอนุญาต" data-scaytid="27">าที่ได้รับอนุญาต</span> <span data-scayt_word="ให้ขึ้นทะเบี" data-scaytid="28">ให้ขึ้นทะเบี</span>ย<span data-scayt_word="นตำรับ" data-scaytid="29">นตำรับ</span>ย<span data-scayt_word="าเป็น" data-scaytid="31">าเป็น</span>ย<span data-scayt_word="าแผนโบราณ" data-scaytid="10">าแผนโบราณ</span><br />
<br />
<span data-scayt_word="การควบคุม" data-scaytid="32">การควบคุม</span>ย<span data-scayt_word="าแผนโบราณ" data-scaytid="11">าแผนโบราณ</span><br />
<span data-scayt_word="การผลิต" data-scaytid="33">การผลิต</span> <span data-scayt_word="ขา" data-scaytid="34">ขา</span>ย <span data-scayt_word="หรือนำเข้าฯ" data-scaytid="39">หรือนำเข้าฯ</span> ย<span data-scayt_word="าแผนโบราณจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหม" data-scaytid="41">าแผนโบราณจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหม</span>
าย <span data-scayt_word="ดังนี้" data-scaytid="42">ดังนี้</span><br />
<span data-scayt_word="ดังนี้" data-scaytid="42"></span><br />
1. <b><span data-scayt_word="ผู้ที่ต้องการผลิต" data-scaytid="48">ผู้ที่ต้องการผลิต</span>
<span data-scayt_word="ขา" data-scaytid="35">ขา</span>ย <span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="22">หรือ</span> <span data-scayt_word="นำเข้าฯ" data-scaytid="49">นำเข้าฯ</span> ย<span data-scayt_word="าแผนโบราณ" data-scaytid="12">าแผนโบราณ</span> <span data-scayt_word="จะต้องได้รับอนุญาตจาก" data-scaytid="53">จะต้องได้รับอนุญาตจาก</span> <span data-scayt_word="สำนักงานคณะกรรมการอาหารและ" data-scaytid="54">สำนักงานคณะกรรมการอาหารและ</span>ยา
<span data-scayt_word="หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด" data-scaytid="55">หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด</span>
<span data-scayt_word="และต้องจัดให้ผู้ประกอบการโรคศิลปะแผนโบรา" data-scaytid="56">และต้องจัดให้ผู้ประกอบการโรคศิลปะแผนโบรา</span>ณ <span data-scayt_word="เป็นผู้มีหน้าที่" data-scaytid="57">เป็นผู้มีหน้าที่</span> <span data-scayt_word="ปฏิบัติการประจำ" data-scaytid="58">ปฏิบัติการประจำ</span>
อย<span data-scayt_word="ู่ตลอดเวลาที่เปิดทำการ" data-scaytid="59">ู่ตลอดเวลาที่เปิดทำการ</span></b> <br />
<br />
2.
ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตผลิตยา <span data-scayt_word="ขา" data-scaytid="36">ขา</span>ย <span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="23">หรือ</span> <span data-scayt_word="นำเข้าฯ" data-scaytid="50">นำเข้าฯ</span> ยาแผนโบราณนอกสถานที่
ที่ได้กำหนดไว้ในใบอนุญาต เว้นแต่เป็นการขายส่ง<br />
<br />
3. ตำรับยาแผนโบราณที่ผลิต <span data-scayt_word="หรือนำเข้าฯ" data-scaytid="40">หรือนำเข้าฯ</span>
ได้อย่างถูกกฎหมาย จะต้องขอขึ้นทะเบีย<span data-scayt_word="นตำรับ" data-scaytid="30">นตำรับ</span>ยา และได้รับเลขทะเบียนก่อนจึงจะผลิต
หรือนำเข้าฯได้<br />
<br />
4. ผู้ผลิต <span data-scayt_word="ขา" data-scaytid="37">ขา</span>ย <span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="24">หรือ</span> <span data-scayt_word="นำเข้าฯ" data-scaytid="51">นำเข้าฯ</span> ยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต
จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 5,000 บาท<br />
<br />
5. ผู้ผลิต <span data-scayt_word="ขา" data-scaytid="38">ขา</span>ย <span data-scayt_word="หรือ" data-scaytid="25">หรือ</span> <span data-scayt_word="นำเข้าฯ" data-scaytid="52">นำเข้าฯ</span> ยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน
จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ <br />
<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 0-2590-7200 งานใบอนุญาต<br />
<a href="http://www.facebook.com/#!/groups/310006565721827/">http://www.facebook.com/#!/groups/310006565721827/</a>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-13053935228959812012012-04-23T05:55:00.001-07:002012-04-23T05:55:01.140-07:00เพื่อนๆ มา ดูเรื่อง รสยา ของสมุนไพรไทย กันค่ะ <br />
<br />
รสยา ทั้งหมด มี 9 รส และมี สรรพคุณ แก้โรคดังนี้<br />
<br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๑. รสฝาด สำหรับสมานแผล
แก้บิด ปิดธาตุ คุมธาตุ แก้ท้องร่วง ท้องเสีย</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๒. รสหวาน
สำหรับซึมซาบไปตามเนื้อ ทำให้เนื้อชุ่มชื่น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๓. รสเมาเบื่อ
สำหรับแก้พิษ พิษดี พิษโลหิต พิษไข้ พิษเสมหะ พิษสัตว์กัดต่อย ถ่ายพยาธิ</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๔. รสขม
แก้ทางโลหิตและดี แก้ไข้เพื่อดีพิการ แก้โลหิตพิการ เจริญอาหาร แก้ไข้</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๕. รสเผ็ดร้อน แก้ลม
แก้ลมจุกเสียด แน่นเฟ้อ ขับผายลม บำรุงธาตุ กระจายลม</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๖. รสมัน
ชอบแก้เส้นเอ็น แก้เส้นพิการ บำรุงเส้นเอ็น เพิ่มไขมัน
ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๗. รสหอมเย็น
บำรุงหัวใจ บำรุงหัวใจ บำรุงครรภ์รักษา</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๘. รสเค็ม
ซึมซาบไปตามผิวหนัง แก้โรคผิวหนังบางชนิด เนื้อหนังไม่ให้เน่า</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">๙. รสเปรี้ยว กัดเสมหะ
กัดเสมหะ ฟอกโลหิต ระบายอุจจาระธาตุ</span><br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: small;">รสจืด
แก้เสมหะและปัสสาวะ สำหรับแก้ในทางเตโชธาตุ เสมหะและปัสสาวะ</span><br />
<br />
<br />
<br />
<span style="color: blue; font-family: Microsoft Sans Serif;">ถ้าเพื่อนๆๆ ชิมแล้ว สมุนไพรตัวนั้น มีรสอย่างไร ก็ให้สันนิษฐานได้เลยค่ะ ว่า แก้โรคอะไร ได้ </span><br />
<br />
<span style="color: blue;"> </span>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-52250131749930316832012-04-08T05:28:00.002-07:002012-04-08T05:28:53.728-07:00<span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: x-small;">สัณฑฆาต ๔
เป็นโรคเกี่ยวกับโลหิต ๔ จำพวก</span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: x-small;">สัณฑฆาตเพื่อโลหิตแห้ง(เอกสัณฑฆาต)
เกิดได้กับบุรุษและสตรี เพราะโลหิตจับเป็นก้อนภายใน
เมื่อกินยาร้อนเข้าโลหิตจึงละลายออกเป็นลิ่ม ออกมาตามช่องทวารหนัก
เรียกว่าอัสนโลหิต,สันนิจโลหิต รักษายากนัก
คือเป็นอสาทิยโรค<br />กับสตรีเป็นเรื่องโลหิตและระดูแห้งเดินไม่สะดวก
คุมกันเป็นก้อนเท่าฟองไข่ติดกระดูกสันหลังข้างใน มักจะเจ็บหลัง
บิดตัวจะจุกแน่นหน้าอกมาก เมื่อแก่เข้ามักเป็นลมจุกแน่นอก
<br />ถ้าบุรุษมักเกิดด้วยไข้ถึงพิฆาต คือกระทบกระแทก ตกต้นไม้ ถูกทุบถองโบยตีสาหัส
พิการช้ำในอก โลหิตคุมกันเป็นก้อนเป็นดาน ทำให้ร้อน
เสียดแน่นยอกสันหลัง</span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: x-small;">สัณฑฆาตเกิดเพื่อปัตตะฆาต(โทสัณฑฆาต)
เป็นได้ทั้งบุรุษ-สตรี<br />เพราะเกิดท้องผูกเป็นพรรดึกและโลหิตแห้ง
แล้ววาโยกล้าพัดโลหิตให้เป็นก้อนเข้าในอุทร จึงเจ็บทั่วสรรพางค์กาย เมื่อยบั้นเอว
มือเท้าตาย ให้ขบขัดเข่าและตะโพกท้องขึ้นและตึงที่ทวารเบา กินอาหารไม่มีรส
ปากเปื่อยเสียงแห้ง เวียนศีรษะ ตามืดน้ำตาไหลหูตึง ร้อนบ้างหนาวบ้าง
อยากเปรี้ยวอยากหวาน เป็นคราว</span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: x-small;"><strong><span style="color: #cc0000;">สัณฑฆาตเกิดเพื่อกาฬ เกิดภายในตับ ปอด หัวใจและดี
ไส้อ่อน,ไส้แก่ (ตรีสัณฑฆาต)<br />เป็นเม็ดขนาดเม็ดข้าวสารหัก ขึ้นที่ดีให้คลั่งเพ้อ
ขึ้นตับให้ตับหย่อน ตกโลหิตมีอาการดุจปีศาจเข้าสิง ถ้าขึ้นปอดให้กระหายน้ำ
ขึ้นหัวใจให้แน่นิ่งเจรจาไม่ได้ ขึ้นในไส้อ่อนไส้แกให้จุกเสียด
จุกโลหิตท้องขึ้นท้องพองดังมานกระษัย เมื่อเป็นได้ ๗-๘-๙
วันโลหิตจะแตกออกในทวารทั้ง ๙ เรียก”รัตตะปิตตะโรค”รักษาไม่ได้
คือเป็นอติสัยโรค</span></strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: x-small;">สัณฑฆาตเกิดเพื่อกล่อนแห้ง
(อาสัณฑฆาต)<br />เกิดเพื่อสมุฎฐานธาตุและอชิณโรค
คือกินของแสลงโรคแสลงธาตุเช่นของอันมีรสคาวเป็นต้น ทำให้อาเจียนเป็นน้ำลาย
น้ำลายฝาด มีอาการเจ็บกระบอกตา เมื่อยไปทั้งตัว เจ็บที่ขั้วสะดือ ลงไปถึงอัณฑะ
คันองคชาติ องคชาติบวมเจ็บแสบร้อน แตกออกเป็นน้ำเหลืองไหลซึม
เกิดเป็นเม็ดงอกขึ้นในรูองคชาติขนาดเท่าผลพริกเทศ แก่เข้าดังยอดหูด
ให้ปัสสาวะเป็นสีต่างๆดังทุราวสา ๔ จำพวก</span></span>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-39426128358687684592012-03-29T06:20:00.002-07:002012-03-29T06:20:29.586-07:00จรรยาเภสัช<b><span style="color: #cc0066; font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;">จรรยาเภสัช</span></b><br />
<br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;"> จรรยาเภสัช เป็นหลักคุณธรรมประจำใจที่เภสัชกรทุกคนควรถือปฏิบัติ เพราะว่าเภสัชกรนั้นนอกจากจะต้อง ศึกษาในหลัก เภสัช ๔ แล้ว ยังจะต้องมีจรรยาอันดีงาม เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ประพฤติในสิ่งที่ดีที่ถูกที่ควร เพื่อนำความเจริญมาสู่ตนเองและ วิชาชีพ ตลอดจนสังคมโดยส่วนรวมด้วย มีดังนี้ <br />
๑. ต้องหมั่นเอาใจใส่ศึกษาวิชาแพทย์เพิ่มเติม ให้เหมาะสมแก่กาลสมัยอยู่เสมอไม่เกียจคร้าน <br />
๒. ต้องพิจารณาหาเหตุผลในการปฏิบัติงาน ด้วยความสะอาดปราณี ไม่ประมาทมักง่าย <br />
๓. มีความซี่อสัตย์ มีเมตตาจิตแก่ชีวิตผู้ใช้ยา ไม่โลภเห็นแก่ลาภ โดยหวังกำไรให้มากเกินควร <br />
๔. ต้องละอายต่อบาป ไม่กล่าวเท็จโอ้อวดให้ผู้อื่นหลงเชื่อ ในความรู้ความสามารถอันเหลวไหลของตน <br />
๕. ต้องปรึกษาผู้ชำนาญหรือผู้รู้ เมื่อเกิดความสงสัยในตัวยาชนิดใด หรือการปรุงยา โดยไม่ปิดบังความเขลาของตน</span><br />
<br />
<span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: x-small;"> ความสำคัญของจรรยาเภสัชนี้ เพื่อให้เภสัชกรระลึกอยู่เสมอว่าการปรุงยา หรือผสมยา หรือการประดิษฐ์วัตถุใดใดขึ้นเป็นยาสำหรับมนุษย์ ต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์ จะต้องมีความสะอาด ประณีต รอบคอบ ควรนึกถึงอยู่เสมอว่า เป็นสิ่งที่บำบัดโรคภัยไข้เจ็บต่อชีวิตมนุษย์ มิใช่เป็นยาทำลายชีวิตมนุษย์ ฉะนั้นเภสัชกรจึงต้องมีจิตใจบริสุทธิ์ ยึดหลักจรรยาเภสัชเปรียบเหมือนศีล 5 เป็นข้อยึดเหนี่ยวหรือเป็นกฎข้อบังคับเตือนใจ เตือนสติ ให้ผู้เป็นเภสัชกร ประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ถูกที่ควร เป็นทางนำไปสู่คุณงามความดี และนำความเจริญก้าวหน้าแห่งวิชาชีพสืบต่อไปชั่วกาลนาน </span>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-27048551079434629642012-03-11T06:25:00.002-07:002012-03-11T06:25:46.324-07:00ธาตุไฟ ( เตโชธาตุ) - ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย บางใหญ่<div class="style10">ธาตุไฟ(เตโชธาตุ) มี 4 ประการ ได้แก่<br />
1.สันตัปปัคคี-ไฟสำหรับอุ่นกาย<br />
2.ปริทัยหัคคี-ไฟสำหรับทำให้ร้อนระส่ำระสาย<br />
3.ชิรนัคคี-ไฟสำหรับเผาให้แก่คร่ำคร่า<br />
4. ปริณามัคคี-ไฟสำหรับย่อยอาหาร</div><div class="style10"><br />
</div><div class="style10">เนื่องจากธาตุลม 6 และธาตุไฟ 4 เป็นธาตุที่จับต้องไม่ได้<br />
จึงเหลือธาตุที่จับต้องได้ คือ ธาตุดิน 20 และธาตุน้ำ 12<br />
เมื่อเกิดมาร่างกายครบถ้วนดี จึงเรียกว่า<strong>ครบ32</strong> เป็นการรวมกันของธาตุดินและธาตุน้ำ</div>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-2571616370891692982012-03-11T06:24:00.002-07:002012-03-11T06:24:42.884-07:00ธาตุลม ( วาโย) - ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย บางใหญ่ธาตุลม ( วาโยธาตุ) มี 6 ประการ ดังนี้<br />
<br />
1. อุทธังคมาวาตา-ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน<br />
2. อโธคมาวาตา-ลมที่พัดลงเบื้องล่าง<br />
3. กุจฉิสยาวาตา-ลมพัดในท้องนอกลำไส้<br />
4. โกฏฐาสยาวาตา-ลมพัดในลำไส้ในกระเพาะ<br />
5.อังคมังคานุสารีวาตา-ลมที่พัดทั่วร่างกาย<br />
6.อัสสาสะ ปัสสาสะวาตา-ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกnutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-43732647665374914122012-03-11T06:23:00.000-07:002012-03-11T06:23:30.582-07:00ธาตุน้ำ ( อาโป) มีอะไร บ้าง - ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย บางใหญ่ธาตุน้ำ ( อาโปธาตุ) มี 12 ประการ มีดังนี้ <br />
<br />
1. ปิตตัง-น้ำดี<br />
2. เสมหัง-เสลด<br />
3. บุพโพ-น้ำหนอง<br />
4. โลหิตัง-เลือด<br />
5. เสโท-เหงื่อ<br />
6. เมโท-มันข้น<br />
7. วสา-มันเหลว<br />
8. อัสสุ-น้ำตา<br />
9. เขโฬ-น้ำลาย<br />
10 สิงคาณิกา-น้ำมูก<br />
11.ลสิกา-น้ำไขข้อ<br />
12.มุตตัง-น้ำปัสสาวะnutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-38828284227767625892012-03-11T06:21:00.000-07:002012-03-11T06:21:42.483-07:00ธาตุดิน 20 ประการ มีอะไรบ้าง - ชมรมอนุรักษ์สมุนไพรไทย บางใหญ่ตามตำราการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า มนุษย์เราประกอบด้วยธาตุทั้ง4 คือ<br />
ธาตุดิน(ปถวีธาตุ) มี 20 ประการ ได้แก่<br />
1. เกศา - ผม<br />
2. โลมา - ขน<br />
3. นขา -เล็บ<br />
4. ทันตา - ฟัน<br />
5. ตโจ - หนัง<br />
6. มังสะ- เนื้อ<br />
7. นหารู - เอ็น<br />
8. อัฏฐิ - กระดูก<br />
9. อัฏฐิมิญชัง - เยื่อในกระดูก<br />
10. วักกัง - ม้าม<br />
11. หทยัง - หัวใจ<br />
12. ยกนัง - ตับ <br />
13. กิโลมกัง - ผังผืด<br />
14. ปิหกัง - ไต<br />
15. ปัปผาสัง - ปอด<br />
16. อันตัง - ลำไส้เล็ก<br />
17. อันตคุณนัง - ลำไส้ใหญ่<br />
18. อุทริยัง - อาหารใหม่<br />
19. กรีสัง - อาหารเก่า<br />
20. มัตถเกมัตถลุงคัง-สมองnutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-29991478872163921592012-03-10T05:43:00.000-08:002012-03-10T05:43:47.611-08:00ไปเที่ยวสวนสมุนไพรกันค่ะขณะนี้ ทาง ชมรม อนุรักษ์สมุนไพรไทย จะจัดกิจกรรมไปเที่ยวชมสวนสมุนไพร จันทบุรี -ระยองกัน<br />
ออกเดินทาง เสาร์ที่ 28 เมษายน กลับ 29 เมษายน 2555 <br />
<br />
ค่าใช้จ่าย 1500 บาท รวม ค่าที่พัก อาหาร 4 มื้อ <br />
<br />
สนใจ สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0819355698 ค่ะnutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-87375903508074297532012-02-13T05:08:00.000-08:002012-02-13T05:08:31.855-08:00หญ้าหมอน้อยชื่อ สมุนไพร หญ้าหมอน้อย หรือ หญ้าดอกขาว<br />
สรรพคุณ <span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Tahoma;">เป็นพืชล้มลุก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ขนาดเล็ก สูง 1 - 5 ฟุต ขึ้นง่าย หาง่าย ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนนุ่ม ใบมีหลายรูป รูปไข่รี ปลายและโคนแหลม ผิวค่อนข้างเรียบ ดอกเล็กกลมเป็นพู่ มีสรรพคุณตามตำราโบราณระบุไว้ว่า ทั้งต้นมีรสเย็นขื่น ต้มดื่มลดไข้ แก้ไอ แก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบเฉียบพลัน แก้ริดสีดวงทวาร บำรุงกำลัง แก้ท้องร่วง คั้นเอาน้ำดื่มกระตุ้นให้เจ็บท้องคลอด ขับรก ขับระดู แก้ปวดท้อง ท้องขึ้นอืดเฟ้อ ตำพอกแก้บวม ดูดฝีหนอง</span></span><br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Tahoma;">ปัจจุบัน มี หลาย รพ นำ หญ้าหมอน้อย มาปรุงเป็นยา อดบุหรี่ ได้ผลดีเกินคาด</span></span><br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Tahoma;">เนื่องจากสมุนไพรหญ้าดอกขาวมีสารไนเตรต ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ประสาทรับรสบริเวณลิ้นรู้สึกชา ทำให้ผู้ที่บริโภคเข้าไปไม่รับรู้รสชาติใดๆ จึงไม่รู้สึกอยากบุหรี่ เนื่องจากหญ้าดอกขาวเป็นกลุ่มที่มีโปแตสเซียมสูง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การใช้ควรระวังในรายที่มีประวัติโรคหัวใจ สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น อาจมีอาการคอแห้ง ปากแห้ง </span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: x-small;">สมุนไพรไทยมีดี กว่าที่เราคิดเยอะ ค่ะ เพื่อน ๆๆ </span><br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: x-small;">รับแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ ที่ </span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: x-small;">FB: nutthasasich</span><br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: x-small;">twitter : urasa_c</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: x-small;">ชมรมสมุนไพรไทย สาขาบางใหญ่</span>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7782388491649608715.post-18535354169373824622012-02-13T04:44:00.000-08:002012-02-13T04:44:51.023-08:00รากปลาไหลเผือก<div class="MsoNormal" style="background: white; margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH" style="color: #406afd; font-family: "Microsoft Sans Serif"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 13.0pt;">รากปลาไหลเผือก สมุนไพรหายาก</span></b><b><span lang="TH" style="color: #406afd; font-family: "Microsoft Sans Serif"; font-size: 13pt; mso-bidi-font-size: 14.0pt;"> </span></b><b><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">( Eurocoma longifolia jack)</span></b><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; font-size: 8.5pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="background: white; margin: 0cm 0cm 10pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ต้นปลาไหลเผือกเป็นยาไม้รากเดียว ต้นปลาไหลเผือนกหรือโสมเทวดา หรือพญานาคราช มีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลที่หายาก และ เป็นสมุนไพรที่หมอสมุนไพรสมัยโบราณปิดเป็นความลับมาตลอด ผู้ที่รู้ก็เฉพาะหมอสมุนไพรไม่กี่คนที่ศึกษามาอยู่ในอาศรมฤาษีเท่านั้น เพราะต้นปลาไหลเผือกมีความเร้นลับมาก สมุนไพรทั้ง </span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">4 </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ชื่อนี้ล้วนแต่มีฤทธิ์ทั้งนั้นซึ่งมีประวัติความเป็นมาในโบราณคดีของสมุนไพรหรือปลาไหลเผือก ในยุคต้นไม้เจริญ ต้นไม้ก็รับใช้ถือว่าเป็นยาสำหรับมนุษย์ให้หายจากโรคภัยได้อย่างไม่ต้องสงสัยพอยุคมนุษย์เจริญ ต้นไม้ก็ยังรับใช้มนุษย์เหมือนเดิม ต้นปลาไหลเผือกที่ว่านี้หมอสมุนไพรโบราณเคยเล่าว่า สามารถรักษาโรคได้ </span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">108 </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">โรค </span></div><div class="MsoNormal" style="background: white; margin: 0cm 0cm 10pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="background: white; margin: 0cm 0cm 10pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"><span><strong>สรรพคุณในทางรักษา<span style="font-size: small;">-</span>วิธี</strong></span><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"><span style="font-size: small;"> </span></span></span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">โรคตับ</span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="font-size: small;">, </span></span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">โรคปอด</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">,</span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"> โรคเลือด</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">น้ำเหลืองไม่ดี</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ตกขาว</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ประจำเดือนดำ</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">เหนื่อย</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">เวียนหัว</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">โรคเบาหวาน</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">,</span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"> ประดงต่างๆ</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ริดสีดวง</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">เส้นเอ็นอักเสบ</span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="font-size: small;">, </span></span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ปวดหลัง</span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="font-size: small;">, </span></span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ปวดเอว</span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="font-size: small;">, </span></span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">หัวเข่า</span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="font-size: small;">, </span></span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ข้อ</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">,</span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"> ภูมิแพ้</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">หอบหืด</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">เท้าชา</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">มือชา</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">เกร็ดเงิน</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ขับสารพิษ</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ความดันโลหิตสูง</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ไมเกรน</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">,</span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"> ประจำเดือน</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">อัมพฤกเริ่มแรก</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">มะเร็งเริ่มแรก</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">, </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ฝีภายใน</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">,</span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"> </span><span style="font-family: Calibri; mso-bidi-font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="font-size: small;">TB </span></span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">ชนิดบวม</span><span style="font-family: Calibri; font-size: 11pt; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-font-size: 14.0pt;">,</span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"> ประดงต่างๆ</span></span></div><div class="MsoNormal" style="background: white; margin: 0cm 0cm 10pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="background: white; margin: 0cm 0cm 10pt;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;"><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New"; font-size: 14pt; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-hansi-font-family: Calibri;">เรามี รากปลาไหลเผือก แคปซุล จำหน่าย ในราคา ชมรมฯ ด้วยค่ะ ติดต่อ 0819355698 </span></span></div>nutthasasichhttp://www.blogger.com/profile/12656030539943709435noreply@blogger.com0